![]() |
พระพุทธชินราชวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จากเว็บพลังจิต |
ฉัพพรรณรังสี คือแสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลางเป็นรัศมี 6 ประการ ซึ่งเปล่งออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า คือ
1.
นีละ
เขียวเหมือนดอกอัญชัน
2.
ปีตะ
เหลืองเหมือนหรดาลทอง
3.
โลหิตะ
แดงเหมือนสีตะวันอ่อนหรือตะวันแรกขึ้น
4.
โอทาตะ
ขาวเหมือนแผ่นเงิน
5.
มัญเชฏฐะ
สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่
6.
ปภัสสระ
เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
สีทั้ง 6
นี้ไม่ได้พุ่งออกเป็นสี ๆ ดังที่แยกไว้ดังนี้ แต่แผ่ออกมาพร้อมกัน ในหนังสือ ปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านออกจากพระกายพระพุทธเจ้า
ไว้ดังนี้
“ในลำดับนั้น
พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ออกจากพระสริรกายา อันว่านิลประภาก็เขียวสดเสมอด้วยสีแห่งดอกอัญชันมิฉะนั้นดุจพื้นแห่งเมฆแลดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่
ผุดออกจากอังคาพยพในที่อันเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า แลพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา
ดุจสีหรดาลทองแลดอกกรรณิการ์แลกาญจนปัฏอันแผ่ไว้ พระรัศมีออกจากพระสริรประเทศในที่อันเหลืองแล้ว
แล่นไปสู่ทิศานุทิศต่าง ๆ พระรัศมีที่แดงอย่างพาลทิพากรแลแก้วประพาฬ แลกุมุทปทุมกุสุมชาติ
โอภาสออกจากพระสริรอินทรีย์ในที่อันแดงแล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ทั้งปวง
พระรัศมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แลแผ่นเงิน
แลดวงดาวพกาพฤกษ์ พุ่งออกจากพระสริรประเทศในที่อันขาวแล้วแล่นไปในทิศโดยรอบ
พระรัศมีหงสสิบบาทก็พิลาสเล่ห์ดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบา
แลดอกหงอนไก่ออกจากรัชกายรุ่งเรืองจำรัส พระรัศมีประภัสสรประภาครุวนาดุจสีแก้วผลึกแลแก้วไพฑูริย์เลื่อมประพาย
ออกจากพระบวรกาย แล้วแล่นไปในทศทิศวิจิตรรุจีโอฬาร แลพระฉัพพรรณรังสีทั้ง 6
ประการแผ่ไพศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายอินทรีย์ กำหนดที่ 12 ศอก โดยประมาณ
อันว่าศศิสุริยประภาแลดาราก็วิกลวิการอันแสง เศร้าสีดุจหิ่งห้อยเหือดสิ้นสูญ
มิได้จำรูญไพโรจโชติชัชวาล”
รัศมีเฉกเช่นฉัพพรรณรังสีนี้มีเฉพาะพระพุทธเจ้าและเทวดาเท่านั้น
นอกจากนี้ก็เกิดแต่ธรรมชาติเช่นสีรุ้งที่เรียกกันเป็นสามัญว่ารุ้งกินน้ำ หรือ
พระจันทร์ พระอาทิตย์ทรงกลด ที่ออกจากเทวดานั้นจะเห็นได้ดังที่พรรณนาไว้ในพระสูตรต่าง
ๆ ในเวลาที่เทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้าดังนี้
มีเทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีสว่างจ้าเข้ามายังพระเชตะวัน ทำพระเชตะวันให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ
เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ายังที่ประทับ ความสว่างของรัศมีนั้น ไม่เหมือนแสงเดือนแสงตะวัน
หรือไม่เหมือนแสงไฟ เป็นแสงสว่างที่เสมอกันทั้งหมด
และเป็นแสงสว่างที่ไม่มีเงาเหมือนแสงอื่นเป็นแสงที่แผ่ไปติดอยู่ทั่วบริเวณ
มีข้อความใน ปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ 13 ธรรมจักรปริวรรต กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าไว้ดังนี้
“ฝ่ายอุปกาชีวกเดินมาโดยทุราคมวิถีทางไกล
หว่างคยาประเทศเขตเมืองราชคฤห์กับมหาโพธิติดต่อกัน
แลเห็นไพสณฑ์สถานอันโอฬารไพโรจน์พรรณราย ด้วยข่ายฉัพพิธพรรณรังสีโสภณวิลาส
ปรากฏโดยทิวาทัศนาการทั้งพสุธารแลอากาศโอภาสด้วยพระรัศมีมีพรรณแห่งละ 6 อย่าง
ทั่วทั้งทิศล่างและทิศบน มาสัมผัสกายตนประหลาดมหัศจรรย์ไม่เคยได้พบเห็นเป็นเช่นนี้มาแต่ก่อน
ถ้าจะเป็นเพลิง ไฉนกายอาตมาจึงไม่ร้อนกระวนกระวาย
แม้จะเป็นน้ำไฉนกายอาตมาจะไม่ชุ่มชื้นเย็น นี่จะเป็นสิ่งอันใดยิ่งสงสัยสนเท่ห์จิต
จึงเพ่งพิศไปข้างโน้นข้างนี้ ก็เห็นองค์พระผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์เสด็จบทจรมา รุ่งเรืองด้วยพระสิริฉัพพิธมหาทวัตติงสบุรุษ
ลักษณะแลพระพยามประภาโอภาสเบื้องบนพระอุตมังคศิโรตม์ ก็ช่วงโชติด้วยพระเกตุมาลา
ครุวนาดุจทองทั้งแท่งประดับด้วยฉัพพรรณ รังสีแสงไพโรจน์จำรัส”
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข