วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พระฉัพพรรณรังสี ที่แผ่จากพระกายพระพุทธเจ้า

พระพุทธชินราชวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จากเว็บพลังจิต

ฉัพพรรณรังสี คือแสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลางเป็นรัศมี 6 ประการ ซึ่งเปล่งออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า คือ
1.          นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน
2.          ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง
3.          โลหิตะ แดงเหมือนสีตะวันอ่อนหรือตะวันแรกขึ้น
4.          โอทาตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน
5.          มัญเชฏฐะ สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่
6.          ปภัสสระ เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
สีทั้ง 6 นี้ไม่ได้พุ่งออกเป็นสี ๆ ดังที่แยกไว้ดังนี้ แต่แผ่ออกมาพร้อมกัน ในหนังสือ ปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านออกจากพระกายพระพุทธเจ้า ไว้ดังนี้
     “ในลำดับนั้น พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ออกจากพระสริรกายา อันว่านิลประภาก็เขียวสดเสมอด้วยสีแห่งดอกอัญชันมิฉะนั้นดุจพื้นแห่งเมฆแลดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ ผุดออกจากอังคาพยพในที่อันเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า แลพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีหรดาลทองแลดอกกรรณิการ์แลกาญจนปัฏอันแผ่ไว้ พระรัศมีออกจากพระสริรประเทศในที่อันเหลืองแล้ว แล่นไปสู่ทิศานุทิศต่าง ๆ พระรัศมีที่แดงอย่างพาลทิพากรแลแก้วประพาฬ แลกุมุทปทุมกุสุมชาติ โอภาสออกจากพระสริรอินทรีย์ในที่อันแดงแล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ทั้งปวง พระรัศมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แลแผ่นเงิน แลดวงดาวพกาพฤกษ์ พุ่งออกจากพระสริรประเทศในที่อันขาวแล้วแล่นไปในทิศโดยรอบ พระรัศมีหงสสิบบาทก็พิลาสเล่ห์ดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบา แลดอกหงอนไก่ออกจากรัชกายรุ่งเรืองจำรัส พระรัศมีประภัสสรประภาครุวนาดุจสีแก้วผลึกแลแก้วไพฑูริย์เลื่อมประพาย ออกจากพระบวรกาย แล้วแล่นไปในทศทิศวิจิตรรุจีโอฬาร แลพระฉัพพรรณรังสีทั้ง 6 ประการแผ่ไพศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายอินทรีย์ กำหนดที่ 12 ศอก โดยประมาณ อันว่าศศิสุริยประภาแลดาราก็วิกลวิการอันแสง เศร้าสีดุจหิ่งห้อยเหือดสิ้นสูญ มิได้จำรูญไพโรจโชติชัชวาล”
     รัศมีเฉกเช่นฉัพพรรณรังสีนี้มีเฉพาะพระพุทธเจ้าและเทวดาเท่านั้น นอกจากนี้ก็เกิดแต่ธรรมชาติเช่นสีรุ้งที่เรียกกันเป็นสามัญว่ารุ้งกินน้ำ หรือ พระจันทร์ พระอาทิตย์ทรงกลด ที่ออกจากเทวดานั้นจะเห็นได้ดังที่พรรณนาไว้ในพระสูตรต่าง ๆ ในเวลาที่เทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้าดังนี้
     มีเทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีสว่างจ้าเข้ามายังพระเชตะวัน ทำพระเชตะวันให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ายังที่ประทับ ความสว่างของรัศมีนั้น ไม่เหมือนแสงเดือนแสงตะวัน หรือไม่เหมือนแสงไฟ เป็นแสงสว่างที่เสมอกันทั้งหมด และเป็นแสงสว่างที่ไม่มีเงาเหมือนแสงอื่นเป็นแสงที่แผ่ไปติดอยู่ทั่วบริเวณ

     มีข้อความใน ปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ 13 ธรรมจักรปริวรรต กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าไว้ดังนี้

     “ฝ่ายอุปกาชีวกเดินมาโดยทุราคมวิถีทางไกล หว่างคยาประเทศเขตเมืองราชคฤห์กับมหาโพธิติดต่อกัน แลเห็นไพสณฑ์สถานอันโอฬารไพโรจน์พรรณราย ด้วยข่ายฉัพพิธพรรณรังสีโสภณวิลาส ปรากฏโดยทิวาทัศนาการทั้งพสุธารแลอากาศโอภาสด้วยพระรัศมีมีพรรณแห่งละ 6 อย่าง ทั่วทั้งทิศล่างและทิศบน มาสัมผัสกายตนประหลาดมหัศจรรย์ไม่เคยได้พบเห็นเป็นเช่นนี้มาแต่ก่อน ถ้าจะเป็นเพลิง ไฉนกายอาตมาจึงไม่ร้อนกระวนกระวาย แม้จะเป็นน้ำไฉนกายอาตมาจะไม่ชุ่มชื้นเย็น นี่จะเป็นสิ่งอันใดยิ่งสงสัยสนเท่ห์จิต จึงเพ่งพิศไปข้างโน้นข้างนี้ ก็เห็นองค์พระผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์เสด็จบทจรมา รุ่งเรืองด้วยพระสิริฉัพพิธมหาทวัตติงสบุรุษ ลักษณะแลพระพยามประภาโอภาสเบื้องบนพระอุตมังคศิโรตม์ ก็ช่วงโชติด้วยพระเกตุมาลา ครุวนาดุจทองทั้งแท่งประดับด้วยฉัพพรรณ รังสีแสงไพโรจน์จำรัส”

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...