วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

โอปปาติกะ

เทวดา

     เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะรวมถึงรูปพรหมและอรูปพรหมด้วย โดยทั่วไป เทวดาก็คืออดีตมนุษย์ที่มีความดีมากกว่าความชั่ว เน้นไปที่การทำความดีในด้านให้ทานและรักษาศีลอยู่เป็นประจำ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วกำลังบุญที่มีจึงดึงดูดให้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นต่างๆ ตามแต่กำลังบุญของตน
รูปพรหม ได้แก่ อดีตมนุษย์ที่บำเพ็ญความดีทั้งทาน ศีล และภาวนาเป็นประจำ โดยสามารถเข้าถึงสมาธิในระดับฌาน ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน เมื่อสิ้นชีวิตแล้วกำลังบุญมากพอที่จะดึงดูดให้ไปเกิดเป็นรูปพรหม
อรูปพรหม ได้แก่ อดีตมนุษย์ที่ปฏิบัติธรรมได้ผลจนกระทั่งเลยระดับฌานทั้ง จนกระทั่งเข้าถึงระดับสูงขึ้นไปอีก ระดับ
สัตว์นรก ได้แก่ โอปปาติกะที่ตรงข้ามกับเทวดา คือ อยู่ในสถานที่ที่มีความทุกข์ ที่เรียกกันว่า ฝ่ายทุคติ หรือฝ่ายบาป โดยสัตว์นรกแบ่งเป็น ระดับ
มีคำอธิบายในคัมภีร์พระพุทธศาสนาว่า สัตว์นรก เป็นโอปปาติกะในแต่ละจกฺกวาฬ ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่า จักรวาล ซึ่งจากการวิเคราะห์โดย ผศ.ดร.สรกานต์ ศรีตองอ่อน ผู้เขียนหนังสือ พุทธจักรวาล อิทธิฤทธิ์มีจริง ผีมีจริงชีวิตซ้อนมิติ จักรวาลนี้ก็คือกาแล็กซีในความหมายทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง
ยังมีสัตว์นรกอีกประเภทหนึ่งที่อยู่นอกแต่ละกาแล็กซี โดยอยู่ระหว่าง กาแล็กซีที่อยู่ใกล้กัน เรียกสัตว์นรกประเภทนี้ว่า โลกันตะ ซึ่งมีความทุกข์ที่สุดในบรรดาสัตว์นรกทั้งหมด

มนุษย์บางจำพวก

     โอปปาติกะ ประเภทนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะตามปกติมนุษย์จัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดในครรภ์ มิใช่โอปปาติกะที่เป็นกายทิพย์เกิดแล้วโตทันที
มนุษย์แบบโอปปาติกะนี้ ได้แก่ มนุษย์ในช่วงแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในแต่ละวัฏจักร เมื่อเอกภพเกิดขึ้นใหม่ๆ จะไม่มีมนุษย์อาศัย และตอนเริ่มต้นจะร้อนจัด ต่อมาจะค่อยๆเย็นลง แล้วสสารก็รวมตัวกันเป็นกาแล็กซี เป็นดาวเคราะห์ เช่น โลก ซึ่งในโลกจะมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เรียกว่า ง้วนดิน ซึ่งมีกลิ่นหอมมากและฟุ้งกระจายไปไกลจนถึงสถานที่อยู่ของรูปพรหม จนกระทั่งรูปพรหมบางท่านทนไม่ไหว ต้องลงมาดูว่าสิ่งนั้นคืออะไร
รูปพรหมบางท่านที่ลงมายังโลกนี้ได้ทดลองชิมง้วนดินนั้น ทำให้เกิดความหยาบในกายทิพย์ของตน จนเกิดการเปลี่ยนสภาพจากรูปพรหมมาเป็นมนุษย์ทันที ซึ่งมนุษย์ประเภทนี้เองที่มีสภาพกำเนิดแบบโอปปาติกะ
ในคัมภีร์มีกล่าวถึงมนุษย์บางคน ได้แก่ นางอัมพปาลี (ต่อมาบวชเป็นภิกษุณี แล้วบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์) ซึ่งถือกำเนิดแบบโอปปาติกะที่โคนต้นมะม่วง เนื่องจากอธิษฐานจิตมาในอดีตชาติว่า ขอให้เกิดแบบโอปปาติกะ เพราะรังเกียจการเข้าอยู่ในครรภ์

เปรต

     โอปปาติกะที่จัดอยู่ในฝ่ายทุคติ แต่ยังมีบาปไม่มากพอที่จะเป็นสัตว์นรก จึงอาศัยอยู่เป็นกายทิพย์ที่ปะปนบนโลกมนุษย์ บางครั้งก็ปรากฏร่างกึ่งหยาบกึ่งละเอียดให้มนุษย์มองเห็นได้ เพื่อมาขอส่วนบุญจากมนุษย์

อสุรกาย

     มีโอปปาติกะอีกประเภทหนึ่ง ชื่อว่า อสุรกาย ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ (พระผู้แต่งคัมภีร์อรรถกถาเพื่อขยายความในพระไตรปิฎก) ได้อธิบายไว้ว่า อสุรกายจัดอยู่ในกลุ่มของเปรตนั่นเอง กล่าวคือ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข แต่ไม่ถึงกับตกนรก โดยอสุรกายจะมีสถานที่อยู่ใต้เขาสิเนรุ หรือจากการวิเคราะห์โดยผู้เขียนคือ อยู่ใต้ศูนย์กลางของแต่ละกาแล็กซีนั่นเอง

ที่มา  amarinbook.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...