วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ (ตอนแรก)

พระสาวกผู้ใหญ่ 80 องค์ หรืออสีติมหาสาวก บางทีเรียก อนุพุทธ 80 องค์ มีรายนามเรียงตามลำดับอักษรดังนี้
1.         กังขาเรวตะ เดิมเป็นบุตรของตระกูลที่มั่งคั่ง ชาวพระนครสาวัตถี ได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะในทาง “เป็นผู้ยินดีในฌานสมาบัติ” (เอตทัคคะ หมายถึง พระสาวกที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่ง)
2.         กัปปะ เดิมเป็นศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ ปาสาณเจดีย์ เมื่อพระศาสดาแสดงคำตอบกลับไป พราหมณ์พาวรี บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี (อนาคามี คือพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุผลที่ได้รับจากการละสังโยชน์ คือกามราคะ และปฏิฆะด้วยอนาคามิมรรค)
3.         กาฬุทายี เดิมเป็นอำมาตย์ของพระเจ้าสุทโธทนะเป็นสหชาติและเป็นพระสหายสนิทของพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นเอตทัคคะใน “บรรดาผู้ทำตระกูลให้เลื่อมใส”
4.         กิมพิละ เจ้าศากยะองค์หนึ่ง ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชา มีกษัตริย์ 6 องค์ คือ พระภัททิยะ 1 พระอนุรุทธะ 1 พระอานนท์ 1 พระภัคคุ 1 พระกิมพิละ 1 พระเทวทัติ 1 และมีอุบาลีอำมาตย์ ช่างกัลบก รวมไป 7 ด้วยกัน เข้าเฝ้าพระศาสดาที่อนุปิยะอัมพวัน
5.         กุมารกัสสปะ เดิมเป็นบุตรธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤห์ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม  ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นเอตทัคคะในทาง “แสดงธรรมวิจิตร”
6.         กุณฑธานะ เดิมเป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี บวชในพระพุทธศาสนาเมื่อสูงอายุแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็มีรูปหญิงคนหนึ่งติดตามตัวตลอดเวลาจนบรรลุเป็นพระอรหัต รูปนั้นจึงหายไป ได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นเอตทัคคะในการ “ถือเอาสลากเป็นปฐม”
7.         คยากัสสปะ เดิมเป็นนักบวชชฏิลแห่งกัสสปโคตร เป็นน้องชายคนเล็กของอุรุเวลกัสสปะ ออกบวชตามพี่ชายพร้อมด้วยชฏิล 200 ที่เป็นบริวาร รวมเป็นชฏิลบริวารของสามพี่น้องแห่งกัสสปโคตรเข้าทูลขอบรรพชาต่อพระพุทธเจ้ารวม 1000 และบรรลุพระอรหัตด้วยกันทั้งสิ้น
8.         ควัมปติ เดิมเป็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี เป็นสหายของพระยสะซึ่งเป็นภิกษุสาวกองค์ที่ 6 ของพระพุทธเจ้าต่อจากปัญจวัคคีย์ เมื่อทราบข่าวว่า ยสกุลบุตรออกบวช จึงบวชตามพร้อมด้วยสหายอีกสามคนคือ ปุณณชิ วิมละ สพาหุ ต่อมาได้สำเร็จพระอรหัตและเป็นอสีติมหาสาวกทั้งหมด ได้เป็นสาวกรุ่นแรกที่พระพุทธเจ้าส่งไปประกาศศาสนา
9.         จุนทะ เป็นน้องชายของพระสาลีบุตร เคยเป็นอุปัฏฐาก (ผู้รับใช้ดูแลความเป็นอยู่) ของพระพุทธองค์ และเป็นผู้นำอัฐิธาตุของพระสารีบุตรจากบ้านเกิดที่ท่านปรินิพพาน มาถวายแด่พระพุทธองค์ที่พระเชตะวันมหาวิหาร

10.    จูฬปันถกะ เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีกรุงราชคฤห์ เป็นน้องชายของมหาปันถกะ ออกบวชในพุทธศาสนาปรากฏว่ามีปัญญาทึบอย่างยิ่ง ถูกพี่ชายขับไล่เสียใจคิดจะสึก พอดีพบพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสปลอบแล้วประทานผ้าขาวบริสุทธิ์ให้ไปลูบคลำ พร้อมทั้งบริกรรมสั้น ๆ ความว่า “ผ้านั้นหมองเพราะมือคลำอยู่เสมอ” ทำให้ท่านมองเห็นไตรลักษณ์และได้สำเร็จเป็นพระอรหัต มีความชำนาญคล่องแคล่วในอภิญญา 6 (ความรู้ชั้นสูงมีอยู่ 6 อย่าง) ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “บรรดาผู้ฉลาดในเจโตวิวัฎฎ์”

     ขอเสนอตอนละ 10 องค์ จากหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าโดย ภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พระพุทธประวัติโดยย่อ

จากประสูติถึงปรินิพพาน
     พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดในชมพูทวีปก่อนพุทธศักราช 45 ปี (พุทธศักราชเริ่มตั้งแต่ปีซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน) นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดของโลกศาสนาหนึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในประเทศต่าง ๆ ทางเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ให้กำเนิดศาสนา คือพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ในสมัยที่พระองค์ยังมิได้ออกบวช มีพระนามว่าสิทธัตถะ ในขณะที่ยังทรงเป็นเด็กอยู่ก็ทรงศึกษาศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ในสำนักต่าง ๆ หลายสำนักด้วยกัน จนเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญ ในวิชาการต่าง ๆ หลายสาขา

     เมื่อพระสิทธัตถะมีพระชนม์ได้ 16 พรรษา ก็ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา (นิยมเรียกกันว่า เจ้าหญิงยโสธรา) และมีพระโอรสองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายราหุล ชีวิตในฆราวาสวิสัยของพระสิทธัตถะ มีแต่ความสมหวังไปทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ต่อมาเมื่อมีพระชนมายุได้ 29 พรรษาก็ทรงเบื่อหน่ายโลก เพราะทรงเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของโลกและทรงหวังจะช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ จึงได้ทรงสละความสุขนานาประการ สละลูกเมีย ญาติพี่น้อง และมิตรสหายออกบวช ทรงผนวชอยู่นาน 6 ปี จนกระทั่ง มีพระชนม์ได้ 35 พรรษา จึงได้ตรัสรู้ คือ รู้แจ้งในความจริงแห่งโลก เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

     เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็เสด็จเที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนในแคว้นต่าง ๆ ในชมพูทวีป เพื่อหาทางที่จะนำประชาชนไปสู่ความพ้นทุกข์เป็นเวลานานถึง 45 ปี ปรากฏว่า ประชาชนในชมพูทวีปได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่จนกระทั่งมีพระชนมายุ ได้ 80 จึงปรินิพพาน

ขอบคุณ ข้อมูลจากหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พระพุทธเจ้า 5 พระองค์

อุบัติในภัททกัปนี้
คำว่า “กัป” หมายถึง ระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน ที่กำหนดว่าโลกคือสกล จักรวาฬ ประลัยครั้งหนึ่ง คือกำหนดอายุของโลก ท่านให้เข้าใจด้วยอุปมาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูงด้านละ 1 โยชน์ (400 เส้นหรือประมาณ 16 กิโลเมตร) ทุก 100 ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป กัปหนึ่งยาวกว่านั้น
     “กัป” ปัจจุบันนี้เรียกว่า “ภัททกัป” หรือ “ภัทรกัป” แปลว่า กัปเจริญ เพราะในภัททกัปจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง 5 พระองค์ คือ
1.          พระกกุสันธะ
2.          พระโกนาคมนะ
3.          พระกัสสปะ
4.          พระโคดม (คือพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)
5.          พระศรีอริยเมตไตรย
ในภัททกัปนี้จักมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในอนาคตอีกหนึ่งพระองค์ คือ “พระศรีอริยเมตไตรย”
 บทนมัสการว่า “นโม พุทธาย” แปลตามศัพท์ว่า “นอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า”เป็นคำกลาง ๆ แต่ก็นับถือกันว่าเป็นบทไหว้พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ น่าจะเพราะนับได้ 5 อักษร และพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นั้น ก็หมายถึง พระพุทธเจ้าซึ่งได้อุบัติแล้ว และจักอุบัติในภัททกัปนี้

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...