วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

อาบัติ

อาบัติในพระพุทธศาสนาคืออะไร

     อาบัติคือโทษที่เกิดจากการละเมิดในข้อ (พระวินัยบัญญัติ) ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้าม

อาบัติมี 7 อย่างคือ

1. ปาราชิก (1.เสพเมถุนแม้กับสัตว์ 2.ขโมยของตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป (1บาท)3.ฆ่าคน 4.อวดอุตริมนุสธรรมซึ่งตนเองไม่มี(ยกเว้นตนเองเข้าใจผิด))
2. สังฆาทิเสส (มี13ข้อ ทำอสุจิเคลื่อน แตะต้องกายสตรี พูดเกี้ยวพาราสีสตรี พูดจาให้สตรีบำเรอกามให้ ทำตัวเป็นพ่อสื่อ สร้างกุฏิด้วยการขอ มีเจ้าภาพสร้างกุฏิให้แต่ไม่ไห้สงฆ์แสดงที่ก่อน ใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล แกล้งสมมติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล ทำสังฆเภทคือทำสงฆ์แตกแยก ภิกษุทำตนเป็นคนหัวดื้อ ประจบสอพลอคฤหัสถ์)
3. ถุลลัจจัย (เกิดจากการกระทำที่หยาบคาย)
4. ปาจิตตีย์ (เกิดจากการทำให้ความดีงามตกไป)
5. ปาฏิเทสนียะ (มี 4 ข้อ ห้ามรับของขบเคี้ยวของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน ไล่ให้นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสขะ ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า )
6. ทุกกฏ (เกิดจากการกระทำที่ไม่ดีไม่เหมาะสม)
7. ทุพภาสิต (เกิดจากการพูดไม่ดีไม่เหมาะสม)

ทั้งหมดมีโทษ 3 สถานคือ

1. อาบัติอย่างหนัก ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้น ขาดจากความเป็นภิกษุ คือ ปาราชิก ซึ่งเป็นอาบัติที่แก้ไขไม่ได้ เรียกว่า อเตกิจฉา
2. อาบัติอย่างกลาง ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้นต้องอยู่กรรม (ปริวาส หรือ มานัต) โดยประพฤติวัตรอย่างหนึ่งเพื่อทรมานตน คือ สังฆาทิเสส
3. อาบัติอย่างเบา ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้นต้องประจานตนต่อหน้าภิกษุด้วยกัน แล้วจึงจะพ้นโทษนั้น คือ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต โดยอาบัติอย่างกลางและอย่างเบานั้น เป็นอาบัติที่ยังแก้ไขได้ เรียกว่า สเตกิจฉา


(ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซด์บ้านธรรมะ วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ผู้สงสัยข้อใดให้ไปค้นทางเน็ตดูนะครับ ของผมจะเน้นกระชับ ส่วนรายละเอียดยังมีอีกเยอะ เพราะผู้รู้ยังมีอีกมาก เว็บไซด์ดี ๆ ยังมีอีกมาก ลองไปค้นหาดูครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สมมติสงฆ์

สมมติสงฆ์ หมายถึงพระสงฆ์โดยสมมติ คือเป็นพระสงฆ์โดยการยอมรับกันในหมู่สงฆ์หลังจากการได้ผ่านการคัดเลือกเฟ้น คุณสมบัติถูกต้อง และผ่านพิธีกรรมที่เรียกว่าอุปสมบทกรรมครบถ้วนตามพระวินัย แล้วใช้เรียกพระสงฆ์ที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผล เช่นพระสงฆ์ทั่วไปในปัจจุบัน ถ้าได้บรรลุมรรคผลแล้ว เช่นเป็นพระโสดาบันขึ้นไป แม้จะเป็นฆราวาส ก็เรียกว่า อริยสงฆ์


(ข้อมูลจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี)

วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

พระสังฆราช



    
ตำแหน่งพระสังฆราชมีมาตั้งแต่อยุธยา หรืออาจจะถึงสุโขทัย

ในช่วงอยุธยาตอนกลาง มีการแบ่งเป็น
ฝ่ายคามวาสี (หมายถึงภิกษุที่พำนักอยู่ตามวัดในหมู่บ้านหรือในตัวเมือง มีกิจวัตรประจำเน้นหนักไปในทางคันถธุระ คือศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม) สมณศักดิ์สูงสุดที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ฝ่ายอรัญวาสี ( อรัญวาสี เป็นชื่อเรียกคณะสงฆ์โบราณคณะหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในป่าห่างชุมชน ) สมณศักดิ์สูงสุดที่ สมเด็จพระวันรัตน์ หรือ พระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว (วัดใหญ่ชัยมงคล)
แต่ส่วนใหญ่ ฝ่ายคามวาสี มักได้ขึ้นมากกว่า จึงมีสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จ" ทุกรูป ส่วนฝ่ายอรัญวาสี มีบางรูปเท่านั้นที่ขึ้นต้นด้วย "สมเด็จ"

ครั้งถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระอริยมุนี ทำความดีความชอบ หลังกลับจากฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ณ เกาะลังกา จึงทรงตั้งให้เป็น สังฆราชา ที่ตำแหน่ง สมเด็จพระอริยวงศาญาณ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีอันนี้


ภาพจากเว็บพันทิพ


     ในสมัยรัตนโกสินทร์ ก็ได้รับธรรมเนียมการตั้งสมณศักดิ์นี้มาใช้ ด้วยใช้ชื่อคล้ายกับสมัยอยุธยา คือที่ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" สมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์(ที่มิใช่เชื้อพระวงศ์) ล้วนมีพระนามอย่างเป็นทางการเช่นนี้ จะมีข้อยกเว้นก็เพียง สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบัน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้คงพระนามสมัยได้รับการสถาปนาเป็นพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระญาณสังวร" ไว้ ด้วยเป็นการเชิดชูพระจริยาวัตรขององค์สมเด็จพระสังฆราช คือ ทรงเก่งในทางสมาธิ (ว่าศีลสังวรยากแล้ว พระสงฆ์ผู้มีญาณสังวรยากกว่า) แล้วจึงต่อท้ายพระนามว่า "สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก" คาดว่าต่อไปคงกลับไปใช้ตามธรรมเนียมเดิม

     ส่วนกรณีเชื้อพระวงศ์นี้ นับเป็นกรณียกเว้น ถ้าเป็นชั้นตั้งแต่หม่อมเจ้าลงมา นำหน้าพระนามว่า "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า" และมักจะสถาปนากรมเพื่อเป็นเกียรติยศด้วยเสมอ เช่น
- สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
- สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ถ้าเป็นชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป จะลูกหลวงก็ดี หลานหลวงก็ได้ โปรดฯให้นำหน้าพระนามว่า "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" ร่วมกับชื่อกรมที่ทรงได้รับพระราชทาน เช่น
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้าฤกษ์ ในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมหาเสนานุรักษ์
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4



ข้อมูลจากเว็บพันทิพ วิกิพีเดีย และในอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

การบรรลุธรรม


การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาจะเป็นไปตามลำดับขั้นดังต่อไปนี้

1.พระโสดาบัน  ละกิเลสได้ 3 ขั้นคือ    
1.1 สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน/ความยึดติดในอัตตา)   
1.2 วิจิกิจฉา (ความสงสัย,ความลังเลไม่แน่ใจ)   
1.3 สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไป อย่างงมงาย  เห็นว่าจะบริสุทธิ์ หลุดพ้น ได้ด้วยเพียงศีลวัตร)

2.พระสกิทาคามี   ละกิเลส 3 ข้อข้างต้นนั้นได้แล้ว มี ราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง 

3.พระอนาคามี  ละกิเลสเบื้องต่ำได้ทั้งหมด คือ  
3.1 สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน/ความยึดติดในอัตตา)  
3.2 วิจิกิจฉา (ความสงสัย,ความลังเลไม่แน่ใจ)  
3.3 สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไป อย่างงมงาย  เห็นว่าจะ บริสุทธิ์  หลุดพ้น ได้ด้วยเพียงศีลวัตร)    
3.4 กามราคะ (ความติดใจในกามคุณ)  
3.5 ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งในใจ)

4.พระอรหันต์  ละกิเลสเป็นเหตุรัดรึงใจได้ทั้งหมด 10 ชนิดดังนี้  
4.1   สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน/ความยึดติดในอัตตา)    
4.2   วิจิกิจฉา (ความสงสัย,ความลังเลไม่แน่ใจ)   
4.3   สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไป อย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุด พ้น ได้ด้วยเพียงศีลวัตร)    
4.4   กามราคะ (ความติดใจในกามคุณ)   
4.5   ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งในใจ)   
4.6   รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌานหรือในรูปธรรมอันประณีต)   
4.7   อรูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม)   
4.8   มานะ (ความสำคัญตน คือ ถือว่า ตนเป็นนั่นเป็นนี่) 
4.9   อุจธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)    
4.10 อวิชชา (ความไม่รู้จริง,ความลุ่มหลง)

ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร nim  magazine   


โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...