วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

พระสังฆราช



    
ตำแหน่งพระสังฆราชมีมาตั้งแต่อยุธยา หรืออาจจะถึงสุโขทัย

ในช่วงอยุธยาตอนกลาง มีการแบ่งเป็น
ฝ่ายคามวาสี (หมายถึงภิกษุที่พำนักอยู่ตามวัดในหมู่บ้านหรือในตัวเมือง มีกิจวัตรประจำเน้นหนักไปในทางคันถธุระ คือศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม) สมณศักดิ์สูงสุดที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ฝ่ายอรัญวาสี ( อรัญวาสี เป็นชื่อเรียกคณะสงฆ์โบราณคณะหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในป่าห่างชุมชน ) สมณศักดิ์สูงสุดที่ สมเด็จพระวันรัตน์ หรือ พระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว (วัดใหญ่ชัยมงคล)
แต่ส่วนใหญ่ ฝ่ายคามวาสี มักได้ขึ้นมากกว่า จึงมีสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จ" ทุกรูป ส่วนฝ่ายอรัญวาสี มีบางรูปเท่านั้นที่ขึ้นต้นด้วย "สมเด็จ"

ครั้งถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระอริยมุนี ทำความดีความชอบ หลังกลับจากฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ณ เกาะลังกา จึงทรงตั้งให้เป็น สังฆราชา ที่ตำแหน่ง สมเด็จพระอริยวงศาญาณ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีอันนี้


ภาพจากเว็บพันทิพ


     ในสมัยรัตนโกสินทร์ ก็ได้รับธรรมเนียมการตั้งสมณศักดิ์นี้มาใช้ ด้วยใช้ชื่อคล้ายกับสมัยอยุธยา คือที่ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" สมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์(ที่มิใช่เชื้อพระวงศ์) ล้วนมีพระนามอย่างเป็นทางการเช่นนี้ จะมีข้อยกเว้นก็เพียง สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบัน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้คงพระนามสมัยได้รับการสถาปนาเป็นพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระญาณสังวร" ไว้ ด้วยเป็นการเชิดชูพระจริยาวัตรขององค์สมเด็จพระสังฆราช คือ ทรงเก่งในทางสมาธิ (ว่าศีลสังวรยากแล้ว พระสงฆ์ผู้มีญาณสังวรยากกว่า) แล้วจึงต่อท้ายพระนามว่า "สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก" คาดว่าต่อไปคงกลับไปใช้ตามธรรมเนียมเดิม

     ส่วนกรณีเชื้อพระวงศ์นี้ นับเป็นกรณียกเว้น ถ้าเป็นชั้นตั้งแต่หม่อมเจ้าลงมา นำหน้าพระนามว่า "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า" และมักจะสถาปนากรมเพื่อเป็นเกียรติยศด้วยเสมอ เช่น
- สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
- สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ถ้าเป็นชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป จะลูกหลวงก็ดี หลานหลวงก็ได้ โปรดฯให้นำหน้าพระนามว่า "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" ร่วมกับชื่อกรมที่ทรงได้รับพระราชทาน เช่น
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้าฤกษ์ ในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมหาเสนานุรักษ์
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4



ข้อมูลจากเว็บพันทิพ วิกิพีเดีย และในอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

การบรรลุธรรม


การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาจะเป็นไปตามลำดับขั้นดังต่อไปนี้

1.พระโสดาบัน  ละกิเลสได้ 3 ขั้นคือ    
1.1 สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน/ความยึดติดในอัตตา)   
1.2 วิจิกิจฉา (ความสงสัย,ความลังเลไม่แน่ใจ)   
1.3 สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไป อย่างงมงาย  เห็นว่าจะบริสุทธิ์ หลุดพ้น ได้ด้วยเพียงศีลวัตร)

2.พระสกิทาคามี   ละกิเลส 3 ข้อข้างต้นนั้นได้แล้ว มี ราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง 

3.พระอนาคามี  ละกิเลสเบื้องต่ำได้ทั้งหมด คือ  
3.1 สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน/ความยึดติดในอัตตา)  
3.2 วิจิกิจฉา (ความสงสัย,ความลังเลไม่แน่ใจ)  
3.3 สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไป อย่างงมงาย  เห็นว่าจะ บริสุทธิ์  หลุดพ้น ได้ด้วยเพียงศีลวัตร)    
3.4 กามราคะ (ความติดใจในกามคุณ)  
3.5 ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งในใจ)

4.พระอรหันต์  ละกิเลสเป็นเหตุรัดรึงใจได้ทั้งหมด 10 ชนิดดังนี้  
4.1   สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน/ความยึดติดในอัตตา)    
4.2   วิจิกิจฉา (ความสงสัย,ความลังเลไม่แน่ใจ)   
4.3   สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไป อย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุด พ้น ได้ด้วยเพียงศีลวัตร)    
4.4   กามราคะ (ความติดใจในกามคุณ)   
4.5   ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งในใจ)   
4.6   รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌานหรือในรูปธรรมอันประณีต)   
4.7   อรูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม)   
4.8   มานะ (ความสำคัญตน คือ ถือว่า ตนเป็นนั่นเป็นนี่) 
4.9   อุจธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)    
4.10 อวิชชา (ความไม่รู้จริง,ความลุ่มหลง)

ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร nim  magazine   


โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...