วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2562

วิชชา 3 -วิชชา 8


วิชชา ๓  (โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
        ๑. ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ ความรู้จักระลึกชาติหนหลังได้ ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างบุรุษคนหนึ่งที่ออกจากบ้านของตนไปเยี่ยมบ้านนั้นบ้านนี้ แล้วก็กลับมาบ้านของตน ก็รู้ระลึกได้ว่าตนออกจากบ้านไปบ้านนั้น เดินยืนนั่งนอนพูดเป็นต้นอย่างนั้น ๆ ออกจากบ้านนั้นไปบ้านโน้นก็ไปทำไปพูดอย่างนั้นๆ ออกจากบ้านโน้นกลับมาสู่บ้านของตน
        ๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้จักจุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือความเข้าถึงชาตินั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างว่า บุรุษขึ้นไปสู่ปราสาทที่ตั้งอยู่ที่ถนนสามแพร่ง มองลงมาก็เห็นหมู่มนุษย์หมู่คน เดินออกจากบ้านบ้าง เดินเข้าบ้านบ้าง นั่งอยู่ที่ทางสามแพร่งบ้าง เดินไปตามถนนบ้าง 
        ๓. อาสวักขยญาณ ความรู้จักทำอาสวะให้สิ้น คือญาณที่เป็นเหตุสิ้นไปอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างว่าบุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ที่ริมสระน้ำที่ใสสะอาด ก็มองเห็นก้อนกรวดหอยโข่งเป็นต้นอยู่ในน้ำ มองเห็นปลาว่ายไปว่ายมาอยู่ในน้ำ
วิชชา ๘ ประการ  (โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
๑. มโนมยิทธิ
       (เริ่ม ๘๐/๒) มโนมยิทธิญาณ คือความรู้จักแสดงฤทธิ์ นิรมิตมโนมัยกายคือกายที่สำเร็จจากใจ มโนมยะ มโนมัย แปลว่าสำเร็จจากใจ อิทธิแปลกันว่าฤทธิ์ ตามศัพท์แปลว่าความสำเร็จ ก็คือน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปที่สำเร็จจากใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปที่สำเร็จจากใจ มีอินทรีย์ที่สมบูรณ์ คือเหมือนมีตามีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายและมีมนะคือใจ ซึ่งเป็นอินทรีย์ ๖ ของกายใจบุคคลนี้  ตรัสเปรียบเหมือนอย่างว่าชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง
๒. มโนมัยกาย กายทิพย์
       ในเมืองไทยนี้ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐานและสนใจในวิชชานี้ ท่านตั้งชื่อเรียกว่ากายทิพย์ ส่วนกายธรรมดาซึ่งประกอบขึ้นด้วยธาตุดินน้ำไฟลมเรียกว่ากายเนื้อ กายทิพย์นี้ก็คือมโนมัยกาย หรือมโนมัยรูป ซึ่งท่านได้แสดงเอาไว้ในประวัติพระพุทธศาสนา ว่าพระพุทธเจ้าโดยปรกติเสด็จไปด้วยกายเนื้อ แต่ในบางคราวเสด็จไปด้วยกายทิพย์ หรือมโนมัยกายนี้
๓. อิทธิวิธิญาณ
       อิทธิวิธิญาณคือความรู้จักวิธีแสดงฤทธิ์ ก็คือน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ด้วยวิธีต่างๆ ตามที่น้อมจิตไปว่าจะแสดงวิธีไหนอย่างไร ดังที่ท่านแสดงไว้เช่น คนเดียวเป็นมากคนหลายคนเป็นคนเดียว ปรากฏตัวหายตัว เดินทะลุฝากำแพงภูเขา เหมือนอย่างเดินไปในที่ว่าง ดำดินโผล่ขึ้นเหมือนอย่างดำน้ำโผล่ขึ้น ดำน้ำ เดินบนน้ำเหมือนเดินบนแผ่นดิน ไปในอากาศได้เหมือนนก ดั่งนี้เปนต้น ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างช่างหม้อ หรือลูกศิษย์ของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อได้เตรียมดินไว้ดี ก็ปั้นภาชนะดินต่างๆ ได้ตามต้องการ 
๔. ทิพยโสตญาณ
        ทิพยโสตญาณ ญาณคือความหยั่งรู้ด้วยทิพยโสต หูทิพย์ น้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตญาณ ก็ฟังเสียงได้ ๒ อย่างคือเสียงทิพย์ หรือเสียงมนุษย์ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกลทั้งที่ใกล้ เหมือนอย่างคนเดินทางไกลได้ยินเสียงสังข์เสียงตะโพน ก็รู้ว่านี่เป็นเสียงสังข์เสียงตะโพน ในที่ใกล้บ้างที่ไกลบ้างที่ผ่านไป ทิพยโสตญาณนี้เป็นวิชชาที่ ๔
๕. เจโตปริยญาณ
       เจโตปริยญาณความรู้จักกำหนดใจของผู้อื่นได้ คือน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ ก็กำหนดรู้ใจได้ อ่านใจได้
๖. ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ 
        ความรู้จักระลึกชาติหนหลังได้ ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างบุรุษคนหนึ่งที่ออกจากบ้านของตนไปเยี่ยมบ้านนั้นบ้านนี้ แล้วก็กลับมาบ้านของตน ก็รู้ระลึกได้ว่าตนออกจากบ้านไปบ้านนั้น เดินยืนนั่งนอนพูดเป็นต้นอย่างนั้นๆ ออกจากบ้านนั้นไปบ้านโน้นก็ไปทำไปพูดอย่างนั้นๆ ออกจากบ้านโน้นกลับมาสู่บ้านของตน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณนี้เป็นวิชชาที่ ๖
๗. จุตูปปาตญาณ 
        ความรู้จักจุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือความเข้าถึงชาตินั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างว่า บุรุษขึ้นไปสู่ปราสาทที่ตั้งอยู่ที่ถนนสามแพร่ง มองลงมาก็เห็นหมู่มนุษย์หมู่คน เดินออกจากบ้านบ้าง เดินเข้าบ้านบ้าง นั่งอยู่ที่ทางสามแพร่งบ้าง เดินไปตามถนนบ้าง จุตูปปาตญาณนี้เป็นวิชชาที่ ๗
๘. อาสวักขยญาณ 
        ความรู้จักทำอาสวะให้สิ้น คือญาณที่เป็นเหตุสิ้นไปอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างว่าบุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ที่ริมสระน้ำที่ใสสะอาด ก็มองเห็นก้อนกรวดหอยโข่งเป็นต้นอยู่ในน้ำ มองเห็นปลาว่ายไปว่ายมาอยู่ในน้ำ
ขอบคุณที่มาในอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2562

อภิญญามีสภาพไม่เหมือนกัน

          เรื่องของอภิญญา คนส่วนใหญ่เมื่อฟังว่าอภิญญาแล้ว ก็มักจะคิดว่าท่านที่ได้อภิญญาจะต้องมีความรู้แจ่มในเหมือนพระพุทธเจ้าเสียทุกอย่าง เป็นการเข้าใจผิดถนัด พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญู คือ มีบารมีเป็นจอมอรหันต์ ย่อมทรงอภิญญาดีเลิศเป็นพิเศษ สำหรับพระสาวกที่ได้มีกำลังไม่เท่ากัน และไม่มีทางจะไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าได้เลย
     จะเปรียบให้ฟัง เอาเพียงทิพยจักษุญาณอย่างเดียว อย่างอื่นให้เข้าใจว่าเหมือนกัน
     1. ทิพยจักษุญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสว่างคล้ายพระอาทิตย์ส่งแสงจัด ไม่มีเมฆบัง ไม่มีเผลอ ไม่มีพลาดในการเห็น
     2. ของพระปัจเจกพุทธเจ้า มีความสว่างเหมือนวันเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง มองเห็นคนกลางคืนเมื่อเดือนหงาย มีสภาพอย่างไรต่างกับกลางวันอย่างไร พิสูจน์เอาเอง
     3. พระอัครสาวก ทั้งสองมีความสว่างเหมือนคบเพลิงเป็นดวงใหญ่สว่าง แต่แสงสว่างไม่ไกลเหมือนความสว่างของดวงจันทร์
     4. ของพระอรหันต์สาวกสว่างเหมือนแสงตะเกียงดวงน้อย
     5. ของท่านที่ได้ฌานโลกีย์ สว่างเหมือนอากาศเมื่อพระอาทิตย์ลับแล้ว กำลังมัวตา มองดูอะไรก็ไม่เห็นถนัดนัก

ที่มาจากคอลัมพ์ ที่มาของเกจิคณาจารย์ โดย อรรคเดช. ในหนังสือหลักเซียนฉบับที่ 22
     

โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...