วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ทรงปาฏิหาริย์ 3 คำรพ ปรากฏแก่พระพุทธบิดา (ตอนจบ)

     ปาฏิหาริย์คำรบสามเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จยังนครกบิลพัสด์เป็นครั้งแรกภายหลังจากตรัสรู้ ตามคำทูลเชิญของพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา ครั้นพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จถึงกบิลพ้สดุ์นคร บรรดาพระประยูรญาติที่มาสโมสรต้อนรับอยู่ทั่วหน้า มีพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาเป็นประธานต่างแสดงออกซึ่งความเบิกบานตามควรแก่วิสัย แล้วทูลเชิญให้เสด็จเข้าไปประทับยังพระนิโครธารามพระมหาวิหาร พระบรมศาสดาก็เสด็จขึ้นประทับบนพระบวรพุทธาอาสน์ บรรดาพระสงฆ์ 2 หมื่นต่างก็ขึ้นนั่งบนอาสนะอันมโหฬาร ดูงามตระการปรากฏสมพระเกียรติศากยบุตรพุทธชิโนรสบรรดามี
     ครั้งนั้น บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลายมีมานะทิฏฐิอันกล้า นึกละอายใจไม่อาจน้อมประนมหัตถ์ถวายนมัสการพระบรมศาสดาได้ด้วยดำริว่า “พระสิทธัตถะมีอายุยังอ่อน ไม่ควรแก่ชุลีกรนมัสการ จึงจัดให้พระประยูรญาติราชกุมารที่พระชนมายุยังน้อย คราวน้อง คราวบุตรหลาน ออกไปนั่งอยู่ข้างหน้า เพื่อจะได้ถวายบังคมพระบรมศาสดา ซึ่งเห็นว่าควรแก่วิสัย ส่วนพระประยูรญาติผู้ใหญ่พากันประทับนั่งอยู่เบื้องหลังเหล่าพระราชกุมารไม่ประนมหัตถ์ ไม่นมัสการ หรือคารวะแต่ประการใด ด้วยมานะ จิตคิดในใจว่าตนแก่กว่า ไม่ควรจะวันทาพระสิทธัตถะ”

     เมื่อพระบรมศาสดาประสบเหตุ ทรงพระประสงค์จะให้เกิดสลดจิตคิดสังเวชแก่พระประยูรญาติที่มีจิตคิดมมังการ จึงทรงสำแดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นลอยอยู่ในอากาศ ให้ปรากฏประหนึ่งว่าละอองธุลีพระบาทได้หล่นลงตรงเศียรเกล้าแห่งพระประยูรญาติทั้งหลายด้วยพุทธานุภาพเป็นอัศจรรย์

ขอบคุณหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

ทรงปาฏิหาริย์ 3 คำรบ ปรากฏแก่พระพุทธบิดา (ตอน2)

     ปาฏิหาริย์คำรบสอง ต่อมาวันหนึ่ง เป็นวันพระราชพิธีวัปปมงคล (พิธีมงคลแรกนาขวัญ) พระเจ้าสุทโธทนะเสด็จไปทรงแรกนาขวัญในงานราชพิธีนั้นก็โปรดเกล้าให้เชิญพระกุมารไปในงานพระราชพิธีนั้นด้วย ครั้นเสด็จไปถึงภูมิสถานที่แรกนาขวัญ ก็โปรดให้จัดร่มไม้หว้าซึ่งหนาแน่นด้วยกิ่งใบ อันอยู่ใกล้สถานที่นั้น เป็นที่ประทับของพระกุมารโดยแวดวงด้วยม่านอันงามวิจิตร ครั้นถึงเวลาพระเจ้าสุทโธทนะทรงไถแรกนาขวัญ บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนมที่เฝ้าถวายบำรุงพระกุมารพากันหลีกออกมาดูพิธีนั้นเสียหมด คงปล่อยให้พระกุมารประทับ ณ ภายใต้ร่มหว้าแต่พระองค์เดียว
     เมื่อพระกุมารเสด็จอยู่พระองค์เดียว ได้ความสงัดเป็นสุขก็ทรงนั่งขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ยังปฐมฌานให้บังเกิด ในเวลานั้นเป็นเวลาบ่าย เงาแห่งต้นไม้ทั้งหลายย่อมไปตามแสงตะวันทั้งสิ้น แต่เงาไม้หว้านั้นทรงรูปปรากฏเป็นปริมณฑลตรงอยู่ดุจเวลาตะวันเที่ยงเป็นมหัศจรรย์
     ครั้นนางนมพี่เลี้ยงทั้งหลายกลับมาเห็นปาฏิหาริย์ดังนั้นก็พลันพิศวง จึงรีบไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงสดับก็รีบเสด็จมาโดยเร็ว ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์เป็นมหัศจรรย์เช่นนั้น ก็ทรงยกพระหัตถ์ถวายอภิวันทนาการ ออกพระโอษฐ์ดำรัสว่า เมื่อวันเชิญมาให้ถวายนมัสการพระกาฬเทวิลดาบส ก็ทรงทำปาฏิหาริย์ขึ้นไปยืนชฎาพระดาบส อาตมะก็ประณตครั้งหนึ่งแล้ว และครั้งนี้อาตมะก็ถวายอัญชลีเป็นวาระที่สอง ตรัสแล้วก็ให้เชิญพระกุมารเสด็จคืนเข้าพระนคร ด้วยความเบิกบานพระทัย

 (ติดตามตอนจบครั้งหน้า)

ขอบคุณหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

ทรงปาฏิหาริย์ 3 คำรพ ปรากฏแก่พระพุทธบิดา

     ในกาลที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จพระนครกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรกภายหลัง จากตรัสรู้พระองค์ทรงสำแดงปาฏิหาริย์เป็นมหัศจรรย์ ซึ่งพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาทรงประนมหัตถ์ถวายนมัสการ แล้วกราบทูลว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่มหัศจรรย์ได้ปรากฏแก่พระองค์ ในครั้งนี้นับเป็นคำรบสามแล้ว อันมีความดังต่อไปนี้
     ปาฏิหาริย์คำรบแรก เมื่อพระสิทธัตถะกุมารทรงประสูติได้ 1 วัน ครั้งนั้นมีดาบสองค์หนึ่งมีนามว่า กาฬเทวิล แต่มหาชนเรียกว่า อสิตะ เป็นกุลุปกาจารย์ (อาจารย์ประจำตระกูล) ของพระเจ้าสุทโธทนะ ได้ทราบข่าวจากเทพยดาว่า พระเจ้าสุทโธทนะได้พระราชโอรส จึงได้เดินทางเข้าไปยังกบิลพัสดุ์นคร เข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะถวายพระพรถามข่าวถึงการประสูติของพระโอรส
     พระเจ้าสุทโธทนะทรงปีติปราโมทย์ รับสั่งให้เชิญพระโอรสมาถวายเพื่อนมัสการท่านอสิตดาบส แต่พระบาททั้งสองของพระโอรสกลับขึ้น ปรากฏบนเศียรเกล้าของอสิตดาบสเป็นอัศจรรย์ พระดาบสเห็นดังนั้นก็สะดุ้งตกใจ ครั้นพิจารณาดูลักษณะของพระกุมารก็ทราบด้วยปัญญาญานมีน้ำใจเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะออกมาด้วยความปิติโสมนัส ประณมหัตถ์ถวายอภิวาทแทบพระยุคลบาทของพระกุมาร และแล้วอสิตดาบสกลับได้คิด เกิดโทมนัสจิตร้องไห้เสียใจในวาสนาอาภัพของตน
     พระเจ้าสุทโธทนะได้ทอดพระเนตรเห็นอาการของท่านอาจารย์พิกลก็แปลกพระทัย เดิมก็ทรงปีติเลื่อมใสในการอภิวาทของท่านอสิตดาบสว่าอภินิหารของพระปิโยรสนั้นยิ่งใหญ่ประดุจดังท้าวมหาพรหมจึงทำให้ท่านอาจารย์มีจิตนิยมชื่นชมอัญชลี ครั้นเห็นท่านอสิตดาบสคลายความยินดีเป็นโสกาอาดูร ก็ประหลาดพระทัยเกิดสงสัย รับสั่งถามถึงเหตุแห่งการร้องไห้ และการหัวเราะเฉพาะหน้า
     อสิตดาบสก็ถวายพระพรพรรณนาถึงมูลเหตุว่า เพราะอาตมาพิจารณาพิจารณาเห็นมหัศจรรย์ พระกุมารนี้มีพระลักษณะพระโพธิสัตว์เจ้าบริบูรณ์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าโดยแท้ และจะเปิดโลกนี้ให้กระจ่างสว่างไสวด้วยกระแสแห่งพระธรรมเทศนาเป็นคุณที่น่าโสมนัสปรีดายิ่งนัก แต่เมื่ออาตมานึกถึงอายุสังขารของอาตมาซึ่งชราเช่นนี้แล้วคงจะอยู่ไปไม่ทันเวลาของพระกุมาร ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระบรมครูสั่งสอน จึงได้วิปฏิสารโศกเศร้า เสียใจที่มีอายุไม่ทันได้สดับรับพระธรรมเทศนา อาตมาจึงร้องไห้
     ครั้นอสิตดาบสถวายพระพรแล้ว ก็ทูลลากลับไปบ้านน้องสาวนำข่าวอันนี้ไปบอก นาลกมาณพผู้หลานชาย และกำชับให้พยายามออกบวชตามพระกุมารในกาลเมื่อหน้าโน้นเถิด
    (โปรดติดตามตอนต่อไป)

ขอบคุณหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 8 ตอนจบ

     71. อัญญาโกณฑัญญะ เกิดที่หมู่บ้านโทณวัตถุ ไม่ไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นพราหมณ์หนุ่มที่สุดในบรรดาพราหมณ์ 8 คน ผู้ทำนายลักษณะของสิทธัตถกุมาร และเป็นผู้เดียวที่ทำนายว่า พระกุมารจะทรงออกบรรพชาได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน  มีคติเป็นอย่างเดียว ต่อมาท่านออกบวชตามเสด็จพระสิทธัตถะขณะบำเพ็ญทุกรกิริยา เป็นหัวหน้าพระปัญจวัคคีย์และได้นำคณะหลีกหนีไปเมื่อ พระมหาบุรุษเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเสด็จไปโปรด ท่านสดับปฐมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม ขอบรรพชา อุปสมบทเป็นปฐมสาวกของพระพุทธเจ้า ต่อมาได้สำเร็จอรหัตเป็นองค์แรก ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางรัตตัญญู” (รู้ราตรีนาน คือบวชนาน รู้เห็นเหตุการณ์มากมาแต่ต้น)
     72. อัสชิ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ เป็นอรหันต์สาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า คือ 1. อัญญาโกณฑัญญะ 2. วัปปะ 3. ภัททิยะ 4. มหานามะ 5. อัสสชิ
     73. อานนท์ เป็นโอรสของพระเจ้าอาของเจ้าชายสิทธัตถะเจ้าศากยะองค์หนึ่ง ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชา มีกษัตริย์ 6 องค์ และ อำมาตย์ช่างกัลบก รวมเป็น 7 ท่านได้รับเลือกเป็นพระอุปัฏฐากประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะหลายด้านคือ “เป็นพหูสูต” “เป็นผู้มีสติ มีคติ มีธิติ” และ “เป็นอุปัฏฐาก”
     พระอานนท์บรรลุพระอรหัตหลังจากพระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว 3 เดือน ทรงเป็นกำลังสำคัญในคราวทำปฐมสังคายนา คือเป็นผู้วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ท่านดำรงชีวิตสืบมาจนอายุได้ 120 ปี จึงปรินิพพาน
     74. อุทยะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดาที่ ปาสาณเจดีย์
     75. อุทายี เป็นบุตรพราหมณ์ในเมืองกบิลพัสดุ์ ออกบวชและสำเร็จอรหัตผล ท่านเป็นพระธรรมกถึกองค์หนึ่ง มีเรื่องเกี่ยวกับการ ที่ท่านแสดงธรรมและสนทนาธรรม ปรากฏในพระไตรปิฎกหลายแห่ง
     76. อุบาลี เป็นอำมาตย์ช่างกัลบกของเจ้าศากยะ ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชา มีกษัตริย์ 6 องค์ และอุบาลี ช่างกัลบกรวมเป็น 7 ท่านเล่าเรียนและเจริญวิปัสสนาไม่ช้าก็สำเร็จพระอรหัต เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ เชี่ยวชาญในพระวินัยมาก จนพระศาสดายกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “บรรดาภิกษุผู้ทรงพระวินัย (วินัยธร)” พระอุบาลีเป็นกำลังสำคัญในคราวทำปฐมสังคายนา คือเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย
     77. อุปวาณะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งคั่งในพระนครสาวัตถี ได้เห็นพระพุทธองค์ในพิธีถวายวัดพระเชตวัน เกิดความเลื่อมใสจึงได้มาบวชในพระพุทธศาสนาและได้บรรลุอรหัตตผล ท่านเคยเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธองค์ แม้ในวันปรินิพพานพระอุปวาณะก็ถวายงานพัดอยู่เฉพาะพระพักตร์
     78. อุปสีวะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ ปาสาณเจดีย์
     79. อุปเสนวังคันตบุตร เป็นน้องชายของพระสารีบุตร เรียนไตรเพทจบแล้ว ต่อมาได้ฟังธรรมมีความเลื่อมใสจึงบวชในพระพุทธศาสนา หลังจากบวชได้ 2 พรรษาจึงได้สำเร็จพระอรหัต ท่านออกบวช บวชจากตระกูลใหญ่มีคนรู้จักมาก และเป็นนักเทศน์ที่สามารถจึงมีกุลบุตรเลื่อมใสมาขอบวชด้วยเป็นจำนวนมาก ตัวท่านเองเป็นผู้ถือธุดงค์และสอนให้สัทธิวิหาริกถือธุดงค์ด้วย ปรากฏว่าทั้งตัวท่านและบริษัทของท่านเป็นที่เลื่อมใสของคนทั่วไปหมด จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางทำให้เกิดความเลื่อมใสทั่วทุกด้าน” (คือไม่เฉพาะตนเองน่าเลื่อมใส แม้คณะศิษย์ก็น่าเลื่อมใสไปหมด)

     80. อุรุเวลกัสสปะ เคยเป็นนักบวชชฏิล นับถือลัทธิบูชาไฟถือตัวว่าเป็นพระอรหันต์ สร้างอาศรมสั่งสอนลัทธิอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชราตำบลอุรุเวลา เป็นคณาจารย์ใหญ่ที่ชาวราชคฤห์นับถือมาก มีน้องชายสองคน ชื่อ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ล้วนเป็นหัวหน้าชฏิล ตั้งอาศรมอยู่ถัดกันไปบนฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ต่อมาพระพุทธเจ้า ได้เสด็จมาทรงทรมานอุรุเวลกัสสปะ ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ จนคลายพยศยอมมอบตัวเป็นพุทธสาวก ขอบรรพชา ทำให้ชฏิลผู้น้องทั้งสองพร้อมด้วยบริวารออกบวชตามด้วยทั้งหมด ครั้นบวชแล้วได้ฟังเทศนาจากพระพุทธเจ้า ก็ได้สำเร็จพระอรหัต ทั้งสามพี่น้องพร้อมด้วยบริวารมากทั้งหมดรวมหนึ่งพันองค์ พระอุรุเวลกัสสปะได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีบริษัทใหญ่” คือมีบริวารมาก

ขอบคุณ หนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 7

     61. สุพาหุ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีเป็นสหายของพระยสะ เมื่อทราบข่าวสกุลบุตรออกบวช จึงบวชตามพร้อมด้วยสหายอีกสามคน คือ ควัมปติ ปุณณชิ วิมละ
     62. สุภูติ เป็นบุตรสุมนเศรษฐีในพระนครสาวัตถี มีความเลื่อมใสบวชในพระพุทธศาสนา ต่อมาเจริญวิปัสสนา ทำเมตตา ฌานให้เป็นบาท ได้สำเร็จพระอรหันต์ พระศาสดาทรงยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ 2 ทางคือ “ทางอรณวิหาร” (เจริญฌานประกอบด้วยเมตตา) และเป็น “ทักขิไณยบุคคล” (ผู้ควรรับของทำบุญที่ทายกถวาย)
     63. เสละ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในอังคุตตราปะ เรียนจบไตรเพท เป็นคณาจารย์สอนศิษย์ 300 ได้พบพระพุทธเจ้า เห็นว่าพระองค์สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะครบถ้วน และได้ทูลถามปัญหาต่าง ๆ เมื่อฟังพระดำรัสตอบแล้ว มีความเลื่อมใสขอบวช ต่อมาไม่ช้าก็ได้บรรลุพระอรหัต
     64. โสณกุฏิกัณณ เป็นบุตรของอุบาสิกาชื่อกาฬี ซึ่งเป็นพระโสดาบัน พระมหากัจจายนะให้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วรอต่อมาอีก 3 ปี เมื่อท่านหาภิกษุครบ 10 รูปแล้วจึงให้อุปสมบทเป็นภิกษุบวชแล้วไม่นานก็สำเร็จพระอรหัตเดินทางมาเฝ้าพระศาสดาพร้อมทั้งนำข้อความที่พระอุปัชฌาย์สั่งมากราบทูลขอพระพุทธานุญาต ด้วยทำให้เกิดมีพระพุทธานุญาตพิเศษสำหรับปัจจันตชนบท เช่น ให้สงฆ์มีภิกษุ 5 รูป ให้อุปสมบทได้ ให้ใช้รองเท้าหนาหลายชั้นได้ ให้อาบน้ำได้ตลอดทุกเวลาเป็นต้น ท่านแสดงธรรมมีเสียงไพเราะชัดเจนจึงได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางกล่าวกัลยาณพจน์”
     65. โสณโกฬิวิสะ เป็นบุตรของอสุภเศรษฐีแห่งวรรณะแพทย์ในเมืองกาฬจัมปาก แคว้นอังคะ ได้รับการบำรุงบำเรอทุกประการ มีความเป็นอยู่ดีเลิศในปราสาท 3 ฤดู มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มและมีขนอ่อนขึ้นภายใน พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับกิตติศัพท์ รับสั่งให้เข้าเฝ้าเพื่อทอดพระเนตร จึงมีโอกาสเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้สดับพระธรรมเทศนาเกิดความเลื่อมใสขอบวช ท่านทำความเพียรอย่างแรงกล้าจนเท้าแตก และเริ่มท้อใจ พระพุทธเจ้าจึงทรงประธานโอวาทอุปมาเรื่องพิณสามสาย ท่านปฏิบัติตามไม่ช้าก็ได้สำเร็จพระอรหัต พระศาสดาทรงยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางปรารภความเพียร”
     66. โสภิตะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี ต่อมาได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า มีความเลื่อมใสขอบวชไม่ช้าก็บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป้นเอตทัคคะในทาง “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” (ความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในชาติก่อนหรือระลึกชาติได้)
     67. เหมกะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์ พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดาที่ปาสาณเจดีย์
     68. องคุลิมาล เป็นบุตรของภัคควพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าโกศล ไปศึกษาในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักศิลา มีความรู้และความประพฤติดี เพื่อนศิษย์ด้วยกันริษยา ยุอาจารย์ให้กำจัดเสีย อาจารย์ลวงด้วยอุบายให้ไปฆ่าคนครบหนึ่งพันแล้วจะมอบวิชาวิเศษอย่างหนึ่งให้ จึงกลายเป็นมหาโจรโหดร้ายทารุณตัดนิ้วมือคนที่ตนฆ่าตายแล้ว ร้อยเป็นพวงมาลัย ภายหลังพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดกลับใจได้ ขอบวชต่อมาก็ได้สำเร็จพระอรหัต ท่านเป็นต้นแห่งพุทธบัญญัติไม่ให้บวชโจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง
     69. อชิตะ เป็นหัวหน้าศิษย์ 16 คนของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์
     70. อนุรุทธะ เจ้าศากยะองค์หนึ่ง ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชา มีกษัตริย์ 6 องค์ และอำมาตย์ช่างกัลบก รวมเป็น 7 พระอนุรุทธะ เรียนกรรมฐานในสำนักของพระสาลีบุตร ได้บรรลุพระอรหัตที่ป่าปาจีน วังสทายวัน ในแคว้นเจตี ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางทิพยจักษุ”

ขอบคุณ หนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 6

     51. เรวตขทิรวนิยะ เป็นบุตรพราหมณ์และเป็นน้องชายคนสุดท้องของพระสารีบุตร บวชอยู่ในสำนักของภิกษุพวกอยู่ป่า (อรัญวาสี) บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าไม้ตะเคียน 3 เดือนเศษ ก็ได้สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางอยู่ป่า”
     52. ลกุณฏกภัททิยะ เป็นบุตรในตระกูลมั่งคั่งพระนครสาวัตถี ท่านได้บรรลุพระอรหัตในสำนักพระสารีบุตร แต่ความที่มีรูปร่างเล็ก เตี้ยค่อม จึงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสามเณรบ้าง ถูกพระหนุ่มเณรน้อยล้อเลียนบ้าง ถูกเพื่อนพระดูแคลนบ้าง แต่พระพุทธเจ้ากลับตรัสยกย่องว่าถึงท่านจะร่างเล็ก แต่มีคุณธรรมฤทธานุภาพมาก ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีเสียงไพเราะ”
     53. วักกลิ เป็นบุตรพราหมณ์ชาวพระนครสาวัตถี บวชในพระพุทธศาสนาด้วยความอยากเห็นพระรูปพระโฉมพระศาสดา คอยติดตามดูพระองค์ตลอดเวลาจนไม่เป็นอันเจริญภาวนา พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า “จะมีประโยชน์อะไรที่ได้เห็นกายเปื่อยเน่านี้ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา” และทรงสอนต่อจนพระวักกลิได้สำเร็จเป็นพระอรหัต ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางศรัทธาวิมุต” คือหลุดพ้นด้วยศรัทธา
     54. วังคีสะ เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี มีความชำนาญในมนตร์พิเศษ เมื่อเอานิ้วเคาะหัวศพก็ทราบว่า ผู้นั้นตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหน แต่เมื่อเคาะศีรษะของผู้ปรินิพพานแล้วไม่สามารถบอกคติได้ ด้วยความอยากเรียนมนตร์เพิ่มอีกจึงขอบวชในพระพุทธศาสนา ไม่นานก็บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีปฏิภาณ”
     55. วัปปะ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์สาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า คือ 1. อัญญาโกณฑัญญะ 2. วัปปะ 3. ภัททิย 4. มหานามะ 5. อัสสชิ
     56. วิมละ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีเป็นสหายของพระยสะ เมื่อทราบข่าวยสกุลบุตรออกบวช จึงบวชตามพร้อมด้วยสหายอีกสามคน คือ ควัมปติ ปุณณชิ และสุพาหุ
     57. สภิยะ เดิมเป็นปริพาชก (นักบวชชายนอกพระพุทธศาสนา) มาก่อน ได้ฟังพระพุทธเจ้าพยากรณ์ปัญหาที่ตนถาม มีความเลื่อมใสขอบวช หลังจากบวชไม่นานก็บรรลุพระอรหัต
     58. สาคตะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี ขอบวชแล้วทำความเพียรจนมีความชำนาญในสมาบัต (ภาวะสงบประณีตซึ่งพึงเข้าถึง) ท่านเป็นต้นบัญญัติสุราปานสิกขาบท เกิดความสังเวชในเหตุการณ์ที่เกิดกับตนครั้งนี้ จึงเจริญวิปัสนากัมมัฏฐานจนได้สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางเตโชสมาบัติ”
     59. สารีบุตร เกิดที่หมู่บ้านนาลกะ ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์เป็นบุตรแห่งตระกูลหัวหน้าหมู่บ้าน เป็นพระสหายกับพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า มาแต่เด็ก ออกบวชเป็นปริพาชก จนได้พบหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์คือ พระอัสสชิ จึงได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยโกลิตะ (นามเดิมของพระโมคคัลลานะ) มีปริพาชกที่เป็นศิษย์ตามมา 250 คน ได้รับเอหิภิกขุอุปสมบททั้งหมดที่พระเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ บวชได้ 15 วัน ก็บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีปัญญามาก”
     พระสารีบุตรนับเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า น้องชายทั้งสามของท่านคือ จุนทะ อุปเสนะ และเรวตะ บวชในพระธรรมวินัยบรรลุพระอรหัตเป็นพระมหาสาวกทั้งหมด ส่วนน้องหญิงอีกสามคนก็บวชในพระธรรมวินัยเช่นกัน ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธเจ้า ในการประกาศศาสนา ได้รับยกย่องเป็น “พระธรรมเสนาบดี” คำสอนของท่านปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเป็นอันมาก
     พระสารีบุตรมีคุณธรรมและจริยาวัตรที่เป็นแบบอย่างหลายประการเช่น เป็นผู้มีความกตัญญูสูง สมบูรณ์ด้วยขันติธรรมต่อคำว่ากล่าว เป็นผู้เอาใจใส่อนุเคราะห์เด็ก เป็นผู้เอาใจใส่ดูแลภิกษุอาพาธเป็นต้น
     60. สีวลี เป็นพระโอรสของพระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ ต่อมาท่านบวชในสำนักของพระสารีบุตร พอปลงผมเสร็จก็ได้สำเร็จพระอรหัต ท่านสมบูรณ์ด้วยปัจจัยลาภและทำให้ลาภเกิดแก่ภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีลาภมาก”

ขอบคุณข้อมูลหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข




วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 5

     41. มหาปันถกะ เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีพระนครราชคฤห์ เป็นพี่ชายของพระจูลปันถกะ บวชเป็นสามเณรตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุครบก็อุปสมบท ต่อมาได้สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะทางด้าน “เป็นผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฎฎ์”
     ท่านชำนาญในอรูปาวจรฌานและเชี่ยวชาญทางด้านวิปัสสนา ท่านเคยรับหน้าที่เป็นภัตตุทเทสก์ คือ ผู้จัดแจกอาหารของสงฆ์
     42. มหาโมคคัลลานะ เกิดที่หมู่บ้านโกลิตคาม ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ เป็นบุตรของพราหมณ์นายบ้าน เป็นพระสหายกับพระสารีบุตรมาแต่เด็ก ออกบวชเป็นปริพาชก จนกระทั่งอุปตัสสะ (นามเดิมของพระสารีบุตร) ได้พบหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์คือ พระอัสชิ จึงได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าบวชในพระธรรมวินัย ถึงวันที่ 7 ก็ได้บรรลุอรหัตตผล ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีฤทธิ์มาก”
     พระมหาโมคคัลลานะนับเป็น พระสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า
     43. เมฆิยะ เคยเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธองค์ ได้ฟังพระธรรมเทศนาเรื่องธรรม 5 ประการสำหรับเจโตวิมุตติ (การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ) เป็นต้น ที่พระศาสดาทรงแสดงจึงได้สำเร็จพระอรหัต
     44. เมตตคู ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้า ที่ปาสณเจดีย์
     45. โมฆราชะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้า ที่ปาสณเจดีย์ได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้วอุปสมบท ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางทรงจีวรหมองเศร้า”
     46. ยสะ เป็นบุตรเศรษฐีกรุงพาราณสี เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย พบพระพุทธเจ้าที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระองค์ตรัสเทศนายสกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม ต่อมาได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้า แสดงแก่บิดาของตน ก็ได้บรรลุอรหัตตผลแล้วขออุปสมบท เป็นภิกษุสาวกองค์ที่ 6 ของพระพุทธเจ้า พระยสะเป็นพระอรหันต์องค์แรกที่อยู่ในเพศคฤหัสถ์ คือยังมิได้บวชก็บรรลุความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นคุณสูงสุดในพระพุทธศาสนา
     47. ยโสชะ เป็นบุตรหัวหน้าชาวประมงใกล้ประตูพระนครสาวัตถี ได้ฟังพระธรรมเทศนากปิลสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีความเลื่อมใสขอบวช ต่อมาไปเจริญสมณธรรมที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ได้สำเร็จพระอรหัต
     48. รัฎฐปาละ เป็นบุตรแห่งตระกูลหัวหน้าในถุลลโกฐิตินิคมในแคว้นกุรุ ฟังธรรมแล้วเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก บิดามารดาไม่อนุญาตให้บวช เสียใจอดอาหารจะได้ตายเสีย บิดามารดาจึงต้องอนุญาต ออกบวชแล้วไม่นานก็สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางบวชด้วยศรัทธา”
     49. ราธะ เดิมเป็นพราหมณ์ในพระนครราชคฤห์ ยามชราลงถูกบุตรทอดทิ้ง อยากบวชก็ไม่มีภิกษุบวชให้เพราะเห็นเป็นคนแก่เฒ่า พระศาสดาทราบทรงตรัสถามว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง พระสารีบุตรระลึกถึงภิกษาทัพพีหนึ่งที่ราธะถวาย จึงรับเป็นอุปัชฌาย์ ราธะเป็นบุคคลแรกที่อุปสมบทด้วยญัตติจตุถกรรมวาจา (คือการอุปสมบทที่สงฆ์เป็นผู้กระทำอย่างที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน) พระราธะเคยทำหน้าที่พุทธอุปัฎฐาก ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางก่อให้เกิดปฏิภาณ”
     50. ราหุล เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ ราหุลกุมารเข้าเฝ้าทูลขอทายาทสมบัติตามคำแนะนำของพระมารดา พระพุทธเจ้าจะประทานอริยทรัพย์ จึงให้พระสารีบุตรบวชราหุลเป็นสามเณรองค์แรกในพุทธศาสนา ต่อมาได้อุปสมบทเป็นภิกษุ ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา”

ขอบคุณ หนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข


วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 4

     31. พาหิยะ ทารุจีริยะ เกิดในครอบครัวคนมีตระกูลในแคว้นพาหิยรัฐ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม วิธีปฏิบัติต่อ อารมณ์ที่รับรู้ทางอายตนะทั้ง 6 พอจบพระธรรมเทศนาย่นย่อนั้นก็สำเร็จอรหัต แต่ไม่ทันได้อุปสมบท ขณะเที่ยวหาบาตรจีวร เผอิญถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดเอาสิ้นชีวิตเสียก่อน ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางตรัสรู้ฉบับพลัน”
     32. ภัคคุ เจ้าศากยะองค์หนึ่ง ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชามี กษัตริย์อีก 5 องค์ คือ ภัททิยะ 1 พระอนุรุทธะ 1 พระอานนท์ 1 พระกิมพิละ 1 พระเทวทัต 1 รวมเป็นกษัตริย์ 6 องค์ และมีอุบาลีอำมาตย์ช่างกัลบก รวมเป็น 7 ด้วยกัน
     33. ภัททิยะ เจ้าศากยะองค์หนึ่ง ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชามีกษัตริย์ 6 องค์และอำมาตย์ช่างกัลบก รวมเป็น 7 พระภัททิยะได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “บรรดาภิกษุผู้มาจากตระกูลสูง”
     34. ภัททิยะ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์สาวก รุ่นแรกของพระพุทธเจ้า คือ 1. อัญญาโกณฑัญญะ 2. วัปปะ 3. ภัททิยะ 4. มหานามะ 5. อัสสชิ
     35. ภัทธราวุธ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์
     36. มหากัจจายนะ เกิดในกัจจายนโคตรที่พระนครอุชเชนี แคว้นอวันตี เรียนจบไตรเพทแล้วต่อมาเป็นปุโรหิตแทนบิดา พระเจ้าจัณฑปัชโชตตรัสสั่งให้หาทางนำพระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่กรุงอุชเชนี  เมื่อเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วบรรลุอรหัตผล อุปสมบทแล้วแสดงความประสงค์จะอัญเชิญเสด็จพระพุทธเจ้าสู่แคว้นอวันตี พระพุทธองค์ตรัสให้ท่านเดินทางไปเอง ท่านเดินทางไปประกาศธรรมยังพระจัณฑปัชโชตและชาวเมืองอุชเชนีทั้งหมดให้เลื่อมใสในพระศาสนาแล้ว จึงกลับมาเฝ้าพระบรมศาสดา ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางขยายความต่อในทางพิศดาร”(ขอเสริม ท่านเป็นผู้ทูลขอพุทธานุญาตจากพระพุทธเจ้า เช่น ให้พระภิกษุสวมรองเท้า และ ให้อาสนะพระภิกษุมีที่พิง เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงอนุญาติ เหตุที่ท่านทูลขอให้สวมรองเท้าเกิดจาก ทางทุรกันดารทำให้พระภิกษุได้รับบาดเจ็บ และพระภิกษุชราย่อมต้องพิงหลังบ้าง)
     37. มหากัปปินะ เป็นกษัตริย์นครกุกกุฎวดีในปัจจันตประเทศทรงสละราชสมบัติมาเฝ้าพระพุทธเจ้า สดับธรรมกถาบรรลุพระอรหัตแล้วได้รับอุปสมบท ชอบอยู่สงบสงัดและมักอุทานว่า สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ ท่านสามารถแสดงธรรมให้ศิษย์บรรลุอรหัตตผล ได้พร้อมคราวเดียวถึง 1000 องค์ ได้รับยกย่องว่าเป็น เอตทัคคะใน “ทางให้โอวาทแก่ภิกษุ”
     38. มหากัสปะ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ แห่งแคว้นมคธ สมรสเมื่ออายุ 20 ปี แต่ทั้งสามีภรรยาได้สละเรือน นุ่งห่มผ้ากาสาวะ ออกบวชกันเอง ได้อุปสมบทด้วยโอวาท 3 ข้อ และได้ถวายผ้าสังฆาฏิของตนแลกกับจีวรเก่าของพระพุทธเจ้า แล้วสมาทานธุดงค์ ครั้นบวชล่วงไปแล้ว 7 วัน ก็ได้บรรลุพระอรหัต เป็นผู้มีปฏิปทามักน้อยสันโดษ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคะใน “ทางถือธุดงค์”
     เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านเป็นผู้ริเริ่มและเป็นประธานในปฐมสังคายนา ท่านดำรงชีวิตสืบมาจน 120 ปี จึงปรินิพพาน
     39. มหาโกฏฐิตะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี ท่านเรียนจบไตรเพท ได้ฟังเทศนาของพระศาสดามีความเลื่อมใสบวชแล้วเจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางเป็นผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา 4” (ปัญญาแตกฉานมี 4)
      40.มหานามะ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์สาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า คือ 1. อัญญาโกณฑัญญะ 2. วัปปะ 3. ภัททิยะ 4. มหานามะ 5. อัสสชิ


ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

     

วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 3

     21. นาลกะ เป็นหลานชายของอสิตดาบส ออกบวชตามคำแนะนำของลุง บำเพ็ญสมณธรรมรอการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอยู่ในป่าหิมพานต์ ครั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วได้มาทูลถามเรื่องโมไนยปฏิปทา (ทางดำเนินคุณธรรมของนักปราชญ์ , ข้อปฏิบัติธรรมที่ทำให้เป็นมุนี) แล้วกลับไปบำเพ็ญสมณธรรม ได้บรรลุอรหัตแล้วดำรงอายุอยู่อีก 7 เดือน ก็ปรินิพพานในป่าหิมพานต์
     22. ปิงคิยะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนและเป็นหลานของพราหมณ์พาวรี ได้กลับมาเล่าเรื่องและแสดงคำตอบปัญหาของพระศาสดา ทำให้พราหมณ์พาวรีบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี
     23. ปิณโฑลภารทวาชะ เดิมเป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครราชคฤห์ เรียนจบไตรเภท ออกบวชในพระพุทธศาสนาได้สำเร็จพระอรหัต เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา มักเปล่งวาจาว่า “ผู้ใดมีความเคลือบแคลงสงสัยในมรรคก็ดี ในผลก็ดี ขอผู้นั้นจงมาถามข้าพเจ้าเถิด” ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทาง “บันลือสีหนาท” (ขอเสริม ท่านเป็นผู้ที่มีฤทธิ์รองจากพระโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า ดูได้จากการเหาะไปเอาบาตรไม้ของเศรษฐี)
     24. ปิลินทวัจฉะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถีได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า มีศรัทธาเลื่อมใสออกบวชในพระพุทธศาสนา เจริญวิปัสสนาแล้วได้บรรลุอรหัตผล ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทาง “เป็นที่รักของเทวดา”
     25. ปุณณกะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์
     26. ปุณณชิ เดิมเป็นบุตรเศรษฐีเมื่องพาราณสี เป็นสหายของพระยสะ ภิกษุสาวกองค์ที่ 6 ของพระพุทธเจ้า เมื่อทราบข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวช จึงบวชตามพร้อมด้วยสหายอีกสามคนคือ ควัมปติ วิมละ และสุพาหุ
     27. ปุณณมันตานีบุตร เกิดในตระกูลพราหมณ์ไม่ไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นหลานของพระอัญญาโกณธัญญะ บวชแล้วไม่นานก็บรรลุอรหัตผล เป็นผู้ปฏิบัติตนตามหลักกถาวัตถุ 10 (เรื่องที่ควรนำมาสนทนากันในหมู่ภิกษุมี 10 อย่าง) ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “บรรดาพระธรรมกถึก” (ธรรมกถึก หมายถึงผู้กล่าวสอนธรรม)
     28. ปุณณสุนาปรันตะ เกิดที่เมืองท่าสุปปารกะ แคว้นสุนาปรันตะ นำกองเกวียนค้าขายตามหัวเมืองต่าง ๆ แนะให้พ่อค้า 500 คน ที่นำไม้จันทน์แดงมาถวายท่าน สร้าง “จันทนศาลา” ถวายพระพุทธเจ้าในมกุฬการาม  แคว้นสุนาปรันตะ พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาประทับ 2-3 วัน และประทับรอยพระบาทที่นัมมทา นาคราชขอเป็นของที่ระลึกไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทา และที่ภูเขาสัจจพันธ์ ซึ่งพระสัจจพันธ์ทูลขอสิ่งที่ระลึกไว้บูชา นับเป็นประวัติการเกิดขึ้นของรอยพระพุทธบาท
     29. โปสาละ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์
     30. พากุละ บุตรเศรษฐีเมืองโกสัมพี เป็นผู้ที่คนสองตระกูลเลี้ยง ท่านอยู่ครองเรือนมาจนอายุ 80 ปี ได้ฟังพระธรรมเทศนามีความเลื่อมใสขอบวช แล้วบำเพ็ญเพียรอยู่ 7 วัน ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางผู้มีอาพาธน้อย” คือสุขภาพดี

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 2

     11. ชตุกัณณิ เดิมเป็นศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ โดยเดินทางไปจากอาศรมสอนไตรเภทที่ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ณ สุดเขตแดนแคว้นอัสสกะ
     12. ติสสเมตตยะ เดิมเป็นศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ เพื่อจะทดสอบว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะจริงหรือไม่
     13. โตเทยยะ เดิมเป็นศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ส่งไปทูลถามปัญหาพระศาสดาเพื่อจะทดสอบว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะจริงหรือไม่ ภายหลังได้รับคำตอบแล้ว ศิษย์ชื่อ ปิงคิยะ ซึ่งเป็นหลานของพราหมณ์พาวรีได้กลับมาเล่าเรื่องและแสดงคำตอบปัญหาของพระศาสดา
     14. ทัพพมัลลบุตร เดิมเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราชแคว้นมัลละ เมื่อพระชนม์ 7 พรรษา มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้บรรพชาเป็นสามเณร พอปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุเป็นพระอรหัต ท่านรับภาระเป็นเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์ในตำแหน่งเสนาสนปัญญาปกะ (ผู้ดูแลจัดสถานที่พักอาศัยของพระ) และภัตตุเทศก์ (จัดแจกอาหาร) ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “บรรดาเสนาสนปัญญากะ”
     15. โธตกะ เดิมเป็นศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ส่งไปทูลถามปัญหาทดสอบพระศาสดา ศิษย์ทั้ง 16 อันมี กัปปะ ชตุกัณณิ ติสสเมตตยะ โตเทยยะ โธตกะ นันทกะ ปิงคิยะ ปุณณกะ โปสาละ ภัทราวุธ เมตตคู โมฆราชะ เหมกะ อชิตะ อุทยะ อุปสีวะ มีอชิตะเป็นหัวหน้า และปิงคิยะผู้เป็นหลานพราหมณ์พาวรีเป็นผู้กลับมาเล่าเรื่อง และแสดงคำตอบปัญหาของพระศาสดาต่อพราหมณ์พาวรี
     ศิษย์ทั้ง 16 ได้สำเร็จพระอรหัต เป็นมหาสาวกทุกองค์ โมฆราชะได้รับยกย่องให้เป็นเอตทัคคะในทาง “ทรงจีวรหมองเศร้า”
     16. นทีกัสสปะ เดิมเป็นนักบวชชฏิลแห่งกัสสปะโคตรมีบริวาร 300 คน เป็นน้องชายของอุรุเวลกัสสปะ ผู้มีบริวาร 500 คน เป็นพี่ชายของคยากัสสปะผู้มีบริวาร 200 คน ออกบวชตามพี่ชายพร้อมด้วยบริวารทั้งหมด
     17. นันทะ พระอนุชาของพระพุทธเจ้าแต่ต่างพระมารดาคือ ประสูติแต่พระนางมหาปชาบดีโคตรมี มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายพระพุทธเจ้า แต่ต่ำกว่าพระพุทธองค์ 4 นิ้ว ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “บรรดาภิกษุผู้สำรวมอินทรีย์”
     18. นันทกะ เกิดในตระกูลผู้ดีมีฐานะในพระนครสาวัตถี เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้สำเร็จพระอรหัต มีความสามารถแสดงธรรมเป็นที่เลื่องลือ ครั้งหนึ่งแสดงธรรมปรากฎว่านางภิกษุณีได้สำเร็จเป็นพระอรหัตถึง 500 องค์ ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทาง “ให้โอวาทแก่นางภิกษุณี”
     19. นันทกะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์
     20 นาคิตะ เคยเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธองค์ มีพระสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสแก่ท่านเกี่ยวกับเนกขัมมสุข (เนกขัมมะ หมายถึง ความปลอดโปร่งจากสิ่งล่อเร้าเย้ายวน)


ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ (ตอนแรก)

พระสาวกผู้ใหญ่ 80 องค์ หรืออสีติมหาสาวก บางทีเรียก อนุพุทธ 80 องค์ มีรายนามเรียงตามลำดับอักษรดังนี้
1.         กังขาเรวตะ เดิมเป็นบุตรของตระกูลที่มั่งคั่ง ชาวพระนครสาวัตถี ได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะในทาง “เป็นผู้ยินดีในฌานสมาบัติ” (เอตทัคคะ หมายถึง พระสาวกที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่ง)
2.         กัปปะ เดิมเป็นศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ ปาสาณเจดีย์ เมื่อพระศาสดาแสดงคำตอบกลับไป พราหมณ์พาวรี บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี (อนาคามี คือพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุผลที่ได้รับจากการละสังโยชน์ คือกามราคะ และปฏิฆะด้วยอนาคามิมรรค)
3.         กาฬุทายี เดิมเป็นอำมาตย์ของพระเจ้าสุทโธทนะเป็นสหชาติและเป็นพระสหายสนิทของพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นเอตทัคคะใน “บรรดาผู้ทำตระกูลให้เลื่อมใส”
4.         กิมพิละ เจ้าศากยะองค์หนึ่ง ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชา มีกษัตริย์ 6 องค์ คือ พระภัททิยะ 1 พระอนุรุทธะ 1 พระอานนท์ 1 พระภัคคุ 1 พระกิมพิละ 1 พระเทวทัติ 1 และมีอุบาลีอำมาตย์ ช่างกัลบก รวมไป 7 ด้วยกัน เข้าเฝ้าพระศาสดาที่อนุปิยะอัมพวัน
5.         กุมารกัสสปะ เดิมเป็นบุตรธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤห์ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม  ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นเอตทัคคะในทาง “แสดงธรรมวิจิตร”
6.         กุณฑธานะ เดิมเป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี บวชในพระพุทธศาสนาเมื่อสูงอายุแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็มีรูปหญิงคนหนึ่งติดตามตัวตลอดเวลาจนบรรลุเป็นพระอรหัต รูปนั้นจึงหายไป ได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นเอตทัคคะในการ “ถือเอาสลากเป็นปฐม”
7.         คยากัสสปะ เดิมเป็นนักบวชชฏิลแห่งกัสสปโคตร เป็นน้องชายคนเล็กของอุรุเวลกัสสปะ ออกบวชตามพี่ชายพร้อมด้วยชฏิล 200 ที่เป็นบริวาร รวมเป็นชฏิลบริวารของสามพี่น้องแห่งกัสสปโคตรเข้าทูลขอบรรพชาต่อพระพุทธเจ้ารวม 1000 และบรรลุพระอรหัตด้วยกันทั้งสิ้น
8.         ควัมปติ เดิมเป็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี เป็นสหายของพระยสะซึ่งเป็นภิกษุสาวกองค์ที่ 6 ของพระพุทธเจ้าต่อจากปัญจวัคคีย์ เมื่อทราบข่าวว่า ยสกุลบุตรออกบวช จึงบวชตามพร้อมด้วยสหายอีกสามคนคือ ปุณณชิ วิมละ สพาหุ ต่อมาได้สำเร็จพระอรหัตและเป็นอสีติมหาสาวกทั้งหมด ได้เป็นสาวกรุ่นแรกที่พระพุทธเจ้าส่งไปประกาศศาสนา
9.         จุนทะ เป็นน้องชายของพระสาลีบุตร เคยเป็นอุปัฏฐาก (ผู้รับใช้ดูแลความเป็นอยู่) ของพระพุทธองค์ และเป็นผู้นำอัฐิธาตุของพระสารีบุตรจากบ้านเกิดที่ท่านปรินิพพาน มาถวายแด่พระพุทธองค์ที่พระเชตะวันมหาวิหาร

10.    จูฬปันถกะ เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีกรุงราชคฤห์ เป็นน้องชายของมหาปันถกะ ออกบวชในพุทธศาสนาปรากฏว่ามีปัญญาทึบอย่างยิ่ง ถูกพี่ชายขับไล่เสียใจคิดจะสึก พอดีพบพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสปลอบแล้วประทานผ้าขาวบริสุทธิ์ให้ไปลูบคลำ พร้อมทั้งบริกรรมสั้น ๆ ความว่า “ผ้านั้นหมองเพราะมือคลำอยู่เสมอ” ทำให้ท่านมองเห็นไตรลักษณ์และได้สำเร็จเป็นพระอรหัต มีความชำนาญคล่องแคล่วในอภิญญา 6 (ความรู้ชั้นสูงมีอยู่ 6 อย่าง) ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “บรรดาผู้ฉลาดในเจโตวิวัฎฎ์”

     ขอเสนอตอนละ 10 องค์ จากหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าโดย ภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พระพุทธประวัติโดยย่อ

จากประสูติถึงปรินิพพาน
     พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดในชมพูทวีปก่อนพุทธศักราช 45 ปี (พุทธศักราชเริ่มตั้งแต่ปีซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน) นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดของโลกศาสนาหนึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในประเทศต่าง ๆ ทางเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ให้กำเนิดศาสนา คือพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ในสมัยที่พระองค์ยังมิได้ออกบวช มีพระนามว่าสิทธัตถะ ในขณะที่ยังทรงเป็นเด็กอยู่ก็ทรงศึกษาศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ในสำนักต่าง ๆ หลายสำนักด้วยกัน จนเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญ ในวิชาการต่าง ๆ หลายสาขา

     เมื่อพระสิทธัตถะมีพระชนม์ได้ 16 พรรษา ก็ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา (นิยมเรียกกันว่า เจ้าหญิงยโสธรา) และมีพระโอรสองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายราหุล ชีวิตในฆราวาสวิสัยของพระสิทธัตถะ มีแต่ความสมหวังไปทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ต่อมาเมื่อมีพระชนมายุได้ 29 พรรษาก็ทรงเบื่อหน่ายโลก เพราะทรงเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของโลกและทรงหวังจะช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ จึงได้ทรงสละความสุขนานาประการ สละลูกเมีย ญาติพี่น้อง และมิตรสหายออกบวช ทรงผนวชอยู่นาน 6 ปี จนกระทั่ง มีพระชนม์ได้ 35 พรรษา จึงได้ตรัสรู้ คือ รู้แจ้งในความจริงแห่งโลก เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

     เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็เสด็จเที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนในแคว้นต่าง ๆ ในชมพูทวีป เพื่อหาทางที่จะนำประชาชนไปสู่ความพ้นทุกข์เป็นเวลานานถึง 45 ปี ปรากฏว่า ประชาชนในชมพูทวีปได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่จนกระทั่งมีพระชนมายุ ได้ 80 จึงปรินิพพาน

ขอบคุณ ข้อมูลจากหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พระพุทธเจ้า 5 พระองค์

อุบัติในภัททกัปนี้
คำว่า “กัป” หมายถึง ระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน ที่กำหนดว่าโลกคือสกล จักรวาฬ ประลัยครั้งหนึ่ง คือกำหนดอายุของโลก ท่านให้เข้าใจด้วยอุปมาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูงด้านละ 1 โยชน์ (400 เส้นหรือประมาณ 16 กิโลเมตร) ทุก 100 ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป กัปหนึ่งยาวกว่านั้น
     “กัป” ปัจจุบันนี้เรียกว่า “ภัททกัป” หรือ “ภัทรกัป” แปลว่า กัปเจริญ เพราะในภัททกัปจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง 5 พระองค์ คือ
1.          พระกกุสันธะ
2.          พระโกนาคมนะ
3.          พระกัสสปะ
4.          พระโคดม (คือพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)
5.          พระศรีอริยเมตไตรย
ในภัททกัปนี้จักมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในอนาคตอีกหนึ่งพระองค์ คือ “พระศรีอริยเมตไตรย”
 บทนมัสการว่า “นโม พุทธาย” แปลตามศัพท์ว่า “นอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า”เป็นคำกลาง ๆ แต่ก็นับถือกันว่าเป็นบทไหว้พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ น่าจะเพราะนับได้ 5 อักษร และพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นั้น ก็หมายถึง พระพุทธเจ้าซึ่งได้อุบัติแล้ว และจักอุบัติในภัททกัปนี้

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พระฉัพพรรณรังสี ที่แผ่จากพระกายพระพุทธเจ้า

พระพุทธชินราชวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จากเว็บพลังจิต

ฉัพพรรณรังสี คือแสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลางเป็นรัศมี 6 ประการ ซึ่งเปล่งออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า คือ
1.          นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน
2.          ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง
3.          โลหิตะ แดงเหมือนสีตะวันอ่อนหรือตะวันแรกขึ้น
4.          โอทาตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน
5.          มัญเชฏฐะ สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่
6.          ปภัสสระ เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
สีทั้ง 6 นี้ไม่ได้พุ่งออกเป็นสี ๆ ดังที่แยกไว้ดังนี้ แต่แผ่ออกมาพร้อมกัน ในหนังสือ ปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านออกจากพระกายพระพุทธเจ้า ไว้ดังนี้
     “ในลำดับนั้น พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ออกจากพระสริรกายา อันว่านิลประภาก็เขียวสดเสมอด้วยสีแห่งดอกอัญชันมิฉะนั้นดุจพื้นแห่งเมฆแลดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ ผุดออกจากอังคาพยพในที่อันเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า แลพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีหรดาลทองแลดอกกรรณิการ์แลกาญจนปัฏอันแผ่ไว้ พระรัศมีออกจากพระสริรประเทศในที่อันเหลืองแล้ว แล่นไปสู่ทิศานุทิศต่าง ๆ พระรัศมีที่แดงอย่างพาลทิพากรแลแก้วประพาฬ แลกุมุทปทุมกุสุมชาติ โอภาสออกจากพระสริรอินทรีย์ในที่อันแดงแล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ทั้งปวง พระรัศมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แลแผ่นเงิน แลดวงดาวพกาพฤกษ์ พุ่งออกจากพระสริรประเทศในที่อันขาวแล้วแล่นไปในทิศโดยรอบ พระรัศมีหงสสิบบาทก็พิลาสเล่ห์ดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบา แลดอกหงอนไก่ออกจากรัชกายรุ่งเรืองจำรัส พระรัศมีประภัสสรประภาครุวนาดุจสีแก้วผลึกแลแก้วไพฑูริย์เลื่อมประพาย ออกจากพระบวรกาย แล้วแล่นไปในทศทิศวิจิตรรุจีโอฬาร แลพระฉัพพรรณรังสีทั้ง 6 ประการแผ่ไพศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายอินทรีย์ กำหนดที่ 12 ศอก โดยประมาณ อันว่าศศิสุริยประภาแลดาราก็วิกลวิการอันแสง เศร้าสีดุจหิ่งห้อยเหือดสิ้นสูญ มิได้จำรูญไพโรจโชติชัชวาล”
     รัศมีเฉกเช่นฉัพพรรณรังสีนี้มีเฉพาะพระพุทธเจ้าและเทวดาเท่านั้น นอกจากนี้ก็เกิดแต่ธรรมชาติเช่นสีรุ้งที่เรียกกันเป็นสามัญว่ารุ้งกินน้ำ หรือ พระจันทร์ พระอาทิตย์ทรงกลด ที่ออกจากเทวดานั้นจะเห็นได้ดังที่พรรณนาไว้ในพระสูตรต่าง ๆ ในเวลาที่เทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้าดังนี้
     มีเทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีสว่างจ้าเข้ามายังพระเชตะวัน ทำพระเชตะวันให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ายังที่ประทับ ความสว่างของรัศมีนั้น ไม่เหมือนแสงเดือนแสงตะวัน หรือไม่เหมือนแสงไฟ เป็นแสงสว่างที่เสมอกันทั้งหมด และเป็นแสงสว่างที่ไม่มีเงาเหมือนแสงอื่นเป็นแสงที่แผ่ไปติดอยู่ทั่วบริเวณ

     มีข้อความใน ปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ 13 ธรรมจักรปริวรรต กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าไว้ดังนี้

     “ฝ่ายอุปกาชีวกเดินมาโดยทุราคมวิถีทางไกล หว่างคยาประเทศเขตเมืองราชคฤห์กับมหาโพธิติดต่อกัน แลเห็นไพสณฑ์สถานอันโอฬารไพโรจน์พรรณราย ด้วยข่ายฉัพพิธพรรณรังสีโสภณวิลาส ปรากฏโดยทิวาทัศนาการทั้งพสุธารแลอากาศโอภาสด้วยพระรัศมีมีพรรณแห่งละ 6 อย่าง ทั่วทั้งทิศล่างและทิศบน มาสัมผัสกายตนประหลาดมหัศจรรย์ไม่เคยได้พบเห็นเป็นเช่นนี้มาแต่ก่อน ถ้าจะเป็นเพลิง ไฉนกายอาตมาจึงไม่ร้อนกระวนกระวาย แม้จะเป็นน้ำไฉนกายอาตมาจะไม่ชุ่มชื้นเย็น นี่จะเป็นสิ่งอันใดยิ่งสงสัยสนเท่ห์จิต จึงเพ่งพิศไปข้างโน้นข้างนี้ ก็เห็นองค์พระผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์เสด็จบทจรมา รุ่งเรืองด้วยพระสิริฉัพพิธมหาทวัตติงสบุรุษ ลักษณะแลพระพยามประภาโอภาสเบื้องบนพระอุตมังคศิโรตม์ ก็ช่วงโชติด้วยพระเกตุมาลา ครุวนาดุจทองทั้งแท่งประดับด้วยฉัพพรรณ รังสีแสงไพโรจน์จำรัส”

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

อนุพยัญชนะ 80 ประการ

นอกเหนือจากมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการแล้ว ยังมีลักษณะข้อปลีกย่อยของพระมหาบุรุษ นิยมเรียกกันว่า “อสีตยานุพยัญชนะ” หรือ “อนุพยัญชนะ” อีก 80 ประการด้วยกัน คือ
1.          มีนิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทอันเหลืองงาม
2.          นิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทเรียวออกไปโดยลำดับแต่ต้นจนปลาย
3.          นิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทกลมดุจนายช่างกลึงเป็นอันดี
4.          พระนขาทั้ง 20 มีสีอันแดง (พระนขา = เล็บ)
5.          พระนขาทั้ง 20 นั้น งอนงามช้อนขึ้นเบื้องบนมิได้ค้อมลงเบื้องต่ำ ดุจเล็บแห่งสามัญชนทั้งปวง
6.          พระนขานั้นมีพรรณอันเกลี้ยงกลมสนิทมิได้เป็นริ้วรอย
7.          ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทซ่อนอยู่ในพระมังสะมิได้สูงขึ้นปรากฏออกมาภายนอก
8.          พระบาททั้งสองเสมอกันมิได้ย่อมใหญ่กว่ากันมาตรว่าเท่าเมล็ดงา
9.          พระดำเนินงามดุจอาการเดินแห่งกุญชรชาติ
10.     พระดำเนินงามดุจสีหราช
11.     พระดำเนินงามดุจดำเนินแห่งหงส์
12.     พระดำเนินงามดุจอสุภราชดำเนิน
13.     ขณะเมื่อยืนจะอย่างดำเนินนั้น ยกพระบาทเบื้องขวาย่างไปก่อน พระกายเยื้องไปข้างเบื้องขวาก่อน
14.     พระชานุมณฑลเกลี้ยงกลมงามบริบูรณ์ บ่มิได้เห็นอัฏฐิสะบ้าปรากฏออกมาภายนอก
15.     มีบุรุษพยัญชนะบริบูรณ์ คือมิได้มีกิริยามารยาทคล้ายสตรี
16.     พระนาภีมิได้บกพร่อง กลมงามมิได้วิกลในที่ใดที่หนึ่ง (พระนาภี = สะดือ)
17.     พระอุทรมีสัณฐานอันลึก (พระอุทร = ท้อง)
18.     ภายในพระอุทรมีรอยเวียนเป็นทักขิณาวัฏ
19.     ลำพระเพลาทั้งสองกลมงามดุจลำสุวรรณกัททลี (พระเพลา + ตัก, ขา  สุวรรณกัททลี = ลำต้นกล้วยสีทอง)
20.     ลำพระกรทั้งสองงามดุจงวงแห่งเอราวัณเทพยหัตถี (เอราวัณเทพยหัตถี = ช้าง 33 เศียร เป็นพาหนะของพระอินทร์ )
21.     พระอังคาพยพใหญ่น้อยทั้งปวงจำแนกเป็นอันดี คืองามพร้อมทุกสิ่งหาที่ตำหนิบ่มิได้ (พระอังคาพยพ = อังคาพยพ = ส่วนน้อยใหญ่แห่งร่างกาย,อวัยวะน้อยใหญ่)
22.     พระมังสะที่ควรจะหนาก็หนา ที่ควรจะบางก็บางตามที่ทั่วทั้งพระสรีรกาย
23.     พระมังสะมิได้หดหู่ในที่ใดที่หนึ่ง
24.     พระสรีรกายทั้งปวงปราศจากต่อมและไฝปาน มูลแมลงวัน มิได้มีในที่ใดที่หนึ่ง
25.     พระกายงามบริสุทธิ์พร้อมสมกันโดยตามลำดับทั้งเบื้องบนแลเบื้องล่าง
26.     พระกายงามบริสุทธิ์พร้อมสิ้นปราศจากมลทินทั้งปวง
27.     ทรงพระกำลังมาก เสมอด้วยกำลังแห่งกุญชรชาติประมาณถึงพันโกฏิช้าง ถ้าจะประมาณด้วยกำลังบุรุษก็ได้ถึงแสนโกฏิบุรุษ (โกฏิเท่ากับ 10 ล้าน)
28.     มีพระนาสิกอันสูง  (พระนาสิก = จมูก)
29.     สัณฐานพระนาสิกงามแฉล้ม
30.     มีพระโอษฐเบื้องบนเบื้องต่ำมิได้เข้าออกกว่ากัน เสมอเป็นอันดี มีพรรณแดงงามดุจสีผลตำลึงสุก (พระโอษฐ = ปาก,ริมฝีปาก)
31.     พระทนต์บริสุทธิ์ปราศจากมูลมลทิน
32.     พระทนต์ขาวดุจดังสีสังข์
33.     พระทนต์เกลี้ยงสนิทมิได้เป็นริ้วรอย
34.     พระอินทรีย์ทั้ง 5 มีจักขุนทรีย์ เป็นอาทิงามบริสุทธิ์ทั้งสิ้น(พระอินทรีย์ = ร่างกายและจิตใจ)
35.     พระเขี้ยวทั้ง 4 กลมบริบูรณ์
36.     ดวงพระพักตร์มีสัณฐานขาวสวย
37.     พระปรางค์ทั้งสองดูเปล่งงามเสมอกัน (พระปรางค์ = แก้ม)
38.     ลายพระหัตถ์มีรอยอันลึก
39.     ลายพระหัตถ์มีรอยอันยาว
40.     ลายพระหัตถ์มีรอยอันตรง บ่มิได้ค้อมคด
41.     ลายพระหัตถ์มีรอยอันแดงรุ่งเรือง
42.     รัศมีพระกายโอภาสเป็นปริมณฑลโดยรอบ
43.     กระพุ้งพระปรางค์ทั้งสองเคร่งครัดบริบูรณ์
44.     กระบอกพระเนตรกว้างแลยาวงามพอสมกัน
45.     ดวงพระเนตรกอปรด้วยประสาททั้ง 5 มีขาวเป็นอาทิผ่องใสบริสุทธิ์ทั้งสิ้น
46.     ปลายเส้นพระโลมาทั้งหลายมิได้งอมิได้คด
47.     พระชิวหามีสัณฐานอันงาม
48.     พระชิวหาอ่อนบ่มิได้กระด้าง มีพรรณอันแดงเข้ม
49.     พระกรรณทั้งสองมีสัณฐานอันยาวดุจกลีบปทุมชาติ (พระกรรณ = หู)
50.     ช่องพระกรรณมีสัณฐานอันกลมงาม
51.     ระเบียบพระเส้นทั้งปวงนั้นสละสลวยมิได้หดหู่ในที่อันใดอันหนึ่ง
52.     แถวพระเส้นทั้งหลายซ่อนอยู่ในพระมังสะทั้งสิ้น บ่มิได้เป็นคลื่นฟูขึ้นเหมือนสามัญชนทั้งปวง
53.     พระเศียรมีสัณฐานงามเหมือนฉัตรแก้ว
54.     ปริมณฑลพระนลาฏโดยกว้างยาวพอสมกัน
55.     พระนลาฏมีสัณฐานอันงาม
56.     พระโขนงมีสัณฐานอันงามดุจคันธนูอันก่งไว้
57.     พระโลมาที่พระโขนงมีเส้นอันละเอียด
58.     เส้นพระโลมาที่พระโขนงงอกขึ้นแล้วล้มราบไปโดยลำดับ
59.     พระโขนงนั้นใหญ่
60.     พระโขนงนั้นยาวสุดหางพระเนตร
61.     ผิวพระมังสะละเอียดทั่วทั้งพระวรกาย
62.     พระสรีรกายรุ่งเรืองไปด้วยสิริ
63.     พระสรีรกายมิได้มัวหมอง ผ่องใสอยู่เป็นนิตย์
64.     พระสรีรกายสดชื่นดุจดวงดอกปทุมชาติ
65.     พระสรีรสัมผัสอ่อนนุ่มสนิท บ่มิได้กระด้างทั่วทั้งพระกาย
66.     กลิ่นพระกายหอมฟุ้งดุจกลิ่นสุคนธกฤษณา
67.     พระโลมามีเส้นเสมอกันทั้งสิ้น
68.     พระโลมามีเส้นละเอียดทั่วทั้งพระกาย
69.     ลมอัสสาสะปัสสาสะลมหายพระทัยเข้าออกก็เดินละเอียด
70.     พระโอษฐ์มีสัณฐานอันงามดุจแย้ม
71.     กลิ่นพระโอษฐ์หอมดุจกลิ่นอุบล (อุบล = ดอกบัว,บัว)
72.     พระเกสาดำเป็นแสง (พระเกสา = ผม)
73.     กลิ่นพระเกสาหอมฟุ้งขจรตลบ
74.     พระเกสาหอมดุจกลิ่นโกมลบุบผชาติ
75.     พระเกสามีสัณฐานเส้นกลมสลวยทุกเส้น
76.     พระเกสาดำสนิททุกเส้น
77.     พระเกสากอปรด้วยเส้นอันละเอียด
78.     เส้นพระเกสามิได้ยุ่งเหยิง
79.     เส้นพระเกสาเวียนเป็นทักขิณาวัฏทุก ๆ เส้น
80.     วิจิตรไปด้วยระเบียบพระเกตุมาลา กล่าวคือถ่องแถวแห่งพระรัศมีอันโชตนาการขึ้น ณ เบื้องบนพระอุตมังคสิโรตม์ (พระเกตุมาลา = รัศมีซึ่งเปล่งอยู่เหนือพระเศียรของพระพุทธเจ้า)

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดย ภัทรวรรณ วันทนชัยสุข






โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...