ในกาลที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จพระนครกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรกภายหลัง จากตรัสรู้พระองค์ทรงสำแดงปาฏิหาริย์เป็นมหัศจรรย์
ซึ่งพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาทรงประนมหัตถ์ถวายนมัสการ
แล้วกราบทูลว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่มหัศจรรย์ได้ปรากฏแก่พระองค์ ในครั้งนี้นับเป็นคำรบสามแล้ว
อันมีความดังต่อไปนี้
ปาฏิหาริย์คำรบแรก
เมื่อพระสิทธัตถะกุมารทรงประสูติได้ 1 วัน ครั้งนั้นมีดาบสองค์หนึ่งมีนามว่า
กาฬเทวิล แต่มหาชนเรียกว่า อสิตะ เป็นกุลุปกาจารย์ (อาจารย์ประจำตระกูล)
ของพระเจ้าสุทโธทนะ ได้ทราบข่าวจากเทพยดาว่า พระเจ้าสุทโธทนะได้พระราชโอรส
จึงได้เดินทางเข้าไปยังกบิลพัสดุ์นคร
เข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะถวายพระพรถามข่าวถึงการประสูติของพระโอรส
พระเจ้าสุทโธทนะทรงปีติปราโมทย์
รับสั่งให้เชิญพระโอรสมาถวายเพื่อนมัสการท่านอสิตดาบส
แต่พระบาททั้งสองของพระโอรสกลับขึ้น ปรากฏบนเศียรเกล้าของอสิตดาบสเป็นอัศจรรย์
พระดาบสเห็นดังนั้นก็สะดุ้งตกใจ
ครั้นพิจารณาดูลักษณะของพระกุมารก็ทราบด้วยปัญญาญานมีน้ำใจเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส
หัวเราะออกมาด้วยความปิติโสมนัส ประณมหัตถ์ถวายอภิวาทแทบพระยุคลบาทของพระกุมาร
และแล้วอสิตดาบสกลับได้คิด เกิดโทมนัสจิตร้องไห้เสียใจในวาสนาอาภัพของตน
พระเจ้าสุทโธทนะได้ทอดพระเนตรเห็นอาการของท่านอาจารย์พิกลก็แปลกพระทัย
เดิมก็ทรงปีติเลื่อมใสในการอภิวาทของท่านอสิตดาบสว่าอภินิหารของพระปิโยรสนั้นยิ่งใหญ่ประดุจดังท้าวมหาพรหมจึงทำให้ท่านอาจารย์มีจิตนิยมชื่นชมอัญชลี
ครั้นเห็นท่านอสิตดาบสคลายความยินดีเป็นโสกาอาดูร ก็ประหลาดพระทัยเกิดสงสัย
รับสั่งถามถึงเหตุแห่งการร้องไห้ และการหัวเราะเฉพาะหน้า
อสิตดาบสก็ถวายพระพรพรรณนาถึงมูลเหตุว่า
เพราะอาตมาพิจารณาพิจารณาเห็นมหัศจรรย์
พระกุมารนี้มีพระลักษณะพระโพธิสัตว์เจ้าบริบูรณ์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าโดยแท้
และจะเปิดโลกนี้ให้กระจ่างสว่างไสวด้วยกระแสแห่งพระธรรมเทศนาเป็นคุณที่น่าโสมนัสปรีดายิ่งนัก
แต่เมื่ออาตมานึกถึงอายุสังขารของอาตมาซึ่งชราเช่นนี้แล้วคงจะอยู่ไปไม่ทันเวลาของพระกุมาร
ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระบรมครูสั่งสอน จึงได้วิปฏิสารโศกเศร้า
เสียใจที่มีอายุไม่ทันได้สดับรับพระธรรมเทศนา อาตมาจึงร้องไห้
ครั้นอสิตดาบสถวายพระพรแล้ว ก็ทูลลากลับไปบ้านน้องสาวนำข่าวอันนี้ไปบอก
นาลกมาณพผู้หลานชาย และกำชับให้พยายามออกบวชตามพระกุมารในกาลเมื่อหน้าโน้นเถิด
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ขอบคุณหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ
วันทนชัยสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น