วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ทรงปาฏิหาริย์ 3 คำรพ ปรากฏแก่พระพุทธบิดา (ตอนจบ)

     ปาฏิหาริย์คำรบสามเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จยังนครกบิลพัสด์เป็นครั้งแรกภายหลังจากตรัสรู้ ตามคำทูลเชิญของพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา ครั้นพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จถึงกบิลพ้สดุ์นคร บรรดาพระประยูรญาติที่มาสโมสรต้อนรับอยู่ทั่วหน้า มีพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาเป็นประธานต่างแสดงออกซึ่งความเบิกบานตามควรแก่วิสัย แล้วทูลเชิญให้เสด็จเข้าไปประทับยังพระนิโครธารามพระมหาวิหาร พระบรมศาสดาก็เสด็จขึ้นประทับบนพระบวรพุทธาอาสน์ บรรดาพระสงฆ์ 2 หมื่นต่างก็ขึ้นนั่งบนอาสนะอันมโหฬาร ดูงามตระการปรากฏสมพระเกียรติศากยบุตรพุทธชิโนรสบรรดามี
     ครั้งนั้น บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลายมีมานะทิฏฐิอันกล้า นึกละอายใจไม่อาจน้อมประนมหัตถ์ถวายนมัสการพระบรมศาสดาได้ด้วยดำริว่า “พระสิทธัตถะมีอายุยังอ่อน ไม่ควรแก่ชุลีกรนมัสการ จึงจัดให้พระประยูรญาติราชกุมารที่พระชนมายุยังน้อย คราวน้อง คราวบุตรหลาน ออกไปนั่งอยู่ข้างหน้า เพื่อจะได้ถวายบังคมพระบรมศาสดา ซึ่งเห็นว่าควรแก่วิสัย ส่วนพระประยูรญาติผู้ใหญ่พากันประทับนั่งอยู่เบื้องหลังเหล่าพระราชกุมารไม่ประนมหัตถ์ ไม่นมัสการ หรือคารวะแต่ประการใด ด้วยมานะ จิตคิดในใจว่าตนแก่กว่า ไม่ควรจะวันทาพระสิทธัตถะ”

     เมื่อพระบรมศาสดาประสบเหตุ ทรงพระประสงค์จะให้เกิดสลดจิตคิดสังเวชแก่พระประยูรญาติที่มีจิตคิดมมังการ จึงทรงสำแดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นลอยอยู่ในอากาศ ให้ปรากฏประหนึ่งว่าละอองธุลีพระบาทได้หล่นลงตรงเศียรเกล้าแห่งพระประยูรญาติทั้งหลายด้วยพุทธานุภาพเป็นอัศจรรย์

ขอบคุณหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

ทรงปาฏิหาริย์ 3 คำรบ ปรากฏแก่พระพุทธบิดา (ตอน2)

     ปาฏิหาริย์คำรบสอง ต่อมาวันหนึ่ง เป็นวันพระราชพิธีวัปปมงคล (พิธีมงคลแรกนาขวัญ) พระเจ้าสุทโธทนะเสด็จไปทรงแรกนาขวัญในงานราชพิธีนั้นก็โปรดเกล้าให้เชิญพระกุมารไปในงานพระราชพิธีนั้นด้วย ครั้นเสด็จไปถึงภูมิสถานที่แรกนาขวัญ ก็โปรดให้จัดร่มไม้หว้าซึ่งหนาแน่นด้วยกิ่งใบ อันอยู่ใกล้สถานที่นั้น เป็นที่ประทับของพระกุมารโดยแวดวงด้วยม่านอันงามวิจิตร ครั้นถึงเวลาพระเจ้าสุทโธทนะทรงไถแรกนาขวัญ บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนมที่เฝ้าถวายบำรุงพระกุมารพากันหลีกออกมาดูพิธีนั้นเสียหมด คงปล่อยให้พระกุมารประทับ ณ ภายใต้ร่มหว้าแต่พระองค์เดียว
     เมื่อพระกุมารเสด็จอยู่พระองค์เดียว ได้ความสงัดเป็นสุขก็ทรงนั่งขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ยังปฐมฌานให้บังเกิด ในเวลานั้นเป็นเวลาบ่าย เงาแห่งต้นไม้ทั้งหลายย่อมไปตามแสงตะวันทั้งสิ้น แต่เงาไม้หว้านั้นทรงรูปปรากฏเป็นปริมณฑลตรงอยู่ดุจเวลาตะวันเที่ยงเป็นมหัศจรรย์
     ครั้นนางนมพี่เลี้ยงทั้งหลายกลับมาเห็นปาฏิหาริย์ดังนั้นก็พลันพิศวง จึงรีบไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงสดับก็รีบเสด็จมาโดยเร็ว ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์เป็นมหัศจรรย์เช่นนั้น ก็ทรงยกพระหัตถ์ถวายอภิวันทนาการ ออกพระโอษฐ์ดำรัสว่า เมื่อวันเชิญมาให้ถวายนมัสการพระกาฬเทวิลดาบส ก็ทรงทำปาฏิหาริย์ขึ้นไปยืนชฎาพระดาบส อาตมะก็ประณตครั้งหนึ่งแล้ว และครั้งนี้อาตมะก็ถวายอัญชลีเป็นวาระที่สอง ตรัสแล้วก็ให้เชิญพระกุมารเสด็จคืนเข้าพระนคร ด้วยความเบิกบานพระทัย

 (ติดตามตอนจบครั้งหน้า)

ขอบคุณหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

ทรงปาฏิหาริย์ 3 คำรพ ปรากฏแก่พระพุทธบิดา

     ในกาลที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จพระนครกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรกภายหลัง จากตรัสรู้พระองค์ทรงสำแดงปาฏิหาริย์เป็นมหัศจรรย์ ซึ่งพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาทรงประนมหัตถ์ถวายนมัสการ แล้วกราบทูลว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่มหัศจรรย์ได้ปรากฏแก่พระองค์ ในครั้งนี้นับเป็นคำรบสามแล้ว อันมีความดังต่อไปนี้
     ปาฏิหาริย์คำรบแรก เมื่อพระสิทธัตถะกุมารทรงประสูติได้ 1 วัน ครั้งนั้นมีดาบสองค์หนึ่งมีนามว่า กาฬเทวิล แต่มหาชนเรียกว่า อสิตะ เป็นกุลุปกาจารย์ (อาจารย์ประจำตระกูล) ของพระเจ้าสุทโธทนะ ได้ทราบข่าวจากเทพยดาว่า พระเจ้าสุทโธทนะได้พระราชโอรส จึงได้เดินทางเข้าไปยังกบิลพัสดุ์นคร เข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะถวายพระพรถามข่าวถึงการประสูติของพระโอรส
     พระเจ้าสุทโธทนะทรงปีติปราโมทย์ รับสั่งให้เชิญพระโอรสมาถวายเพื่อนมัสการท่านอสิตดาบส แต่พระบาททั้งสองของพระโอรสกลับขึ้น ปรากฏบนเศียรเกล้าของอสิตดาบสเป็นอัศจรรย์ พระดาบสเห็นดังนั้นก็สะดุ้งตกใจ ครั้นพิจารณาดูลักษณะของพระกุมารก็ทราบด้วยปัญญาญานมีน้ำใจเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะออกมาด้วยความปิติโสมนัส ประณมหัตถ์ถวายอภิวาทแทบพระยุคลบาทของพระกุมาร และแล้วอสิตดาบสกลับได้คิด เกิดโทมนัสจิตร้องไห้เสียใจในวาสนาอาภัพของตน
     พระเจ้าสุทโธทนะได้ทอดพระเนตรเห็นอาการของท่านอาจารย์พิกลก็แปลกพระทัย เดิมก็ทรงปีติเลื่อมใสในการอภิวาทของท่านอสิตดาบสว่าอภินิหารของพระปิโยรสนั้นยิ่งใหญ่ประดุจดังท้าวมหาพรหมจึงทำให้ท่านอาจารย์มีจิตนิยมชื่นชมอัญชลี ครั้นเห็นท่านอสิตดาบสคลายความยินดีเป็นโสกาอาดูร ก็ประหลาดพระทัยเกิดสงสัย รับสั่งถามถึงเหตุแห่งการร้องไห้ และการหัวเราะเฉพาะหน้า
     อสิตดาบสก็ถวายพระพรพรรณนาถึงมูลเหตุว่า เพราะอาตมาพิจารณาพิจารณาเห็นมหัศจรรย์ พระกุมารนี้มีพระลักษณะพระโพธิสัตว์เจ้าบริบูรณ์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าโดยแท้ และจะเปิดโลกนี้ให้กระจ่างสว่างไสวด้วยกระแสแห่งพระธรรมเทศนาเป็นคุณที่น่าโสมนัสปรีดายิ่งนัก แต่เมื่ออาตมานึกถึงอายุสังขารของอาตมาซึ่งชราเช่นนี้แล้วคงจะอยู่ไปไม่ทันเวลาของพระกุมาร ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระบรมครูสั่งสอน จึงได้วิปฏิสารโศกเศร้า เสียใจที่มีอายุไม่ทันได้สดับรับพระธรรมเทศนา อาตมาจึงร้องไห้
     ครั้นอสิตดาบสถวายพระพรแล้ว ก็ทูลลากลับไปบ้านน้องสาวนำข่าวอันนี้ไปบอก นาลกมาณพผู้หลานชาย และกำชับให้พยายามออกบวชตามพระกุมารในกาลเมื่อหน้าโน้นเถิด
    (โปรดติดตามตอนต่อไป)

ขอบคุณหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 8 ตอนจบ

     71. อัญญาโกณฑัญญะ เกิดที่หมู่บ้านโทณวัตถุ ไม่ไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นพราหมณ์หนุ่มที่สุดในบรรดาพราหมณ์ 8 คน ผู้ทำนายลักษณะของสิทธัตถกุมาร และเป็นผู้เดียวที่ทำนายว่า พระกุมารจะทรงออกบรรพชาได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน  มีคติเป็นอย่างเดียว ต่อมาท่านออกบวชตามเสด็จพระสิทธัตถะขณะบำเพ็ญทุกรกิริยา เป็นหัวหน้าพระปัญจวัคคีย์และได้นำคณะหลีกหนีไปเมื่อ พระมหาบุรุษเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเสด็จไปโปรด ท่านสดับปฐมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม ขอบรรพชา อุปสมบทเป็นปฐมสาวกของพระพุทธเจ้า ต่อมาได้สำเร็จอรหัตเป็นองค์แรก ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางรัตตัญญู” (รู้ราตรีนาน คือบวชนาน รู้เห็นเหตุการณ์มากมาแต่ต้น)
     72. อัสชิ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ เป็นอรหันต์สาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า คือ 1. อัญญาโกณฑัญญะ 2. วัปปะ 3. ภัททิยะ 4. มหานามะ 5. อัสสชิ
     73. อานนท์ เป็นโอรสของพระเจ้าอาของเจ้าชายสิทธัตถะเจ้าศากยะองค์หนึ่ง ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชา มีกษัตริย์ 6 องค์ และ อำมาตย์ช่างกัลบก รวมเป็น 7 ท่านได้รับเลือกเป็นพระอุปัฏฐากประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะหลายด้านคือ “เป็นพหูสูต” “เป็นผู้มีสติ มีคติ มีธิติ” และ “เป็นอุปัฏฐาก”
     พระอานนท์บรรลุพระอรหัตหลังจากพระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว 3 เดือน ทรงเป็นกำลังสำคัญในคราวทำปฐมสังคายนา คือเป็นผู้วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ท่านดำรงชีวิตสืบมาจนอายุได้ 120 ปี จึงปรินิพพาน
     74. อุทยะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดาที่ ปาสาณเจดีย์
     75. อุทายี เป็นบุตรพราหมณ์ในเมืองกบิลพัสดุ์ ออกบวชและสำเร็จอรหัตผล ท่านเป็นพระธรรมกถึกองค์หนึ่ง มีเรื่องเกี่ยวกับการ ที่ท่านแสดงธรรมและสนทนาธรรม ปรากฏในพระไตรปิฎกหลายแห่ง
     76. อุบาลี เป็นอำมาตย์ช่างกัลบกของเจ้าศากยะ ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชา มีกษัตริย์ 6 องค์ และอุบาลี ช่างกัลบกรวมเป็น 7 ท่านเล่าเรียนและเจริญวิปัสสนาไม่ช้าก็สำเร็จพระอรหัต เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ เชี่ยวชาญในพระวินัยมาก จนพระศาสดายกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “บรรดาภิกษุผู้ทรงพระวินัย (วินัยธร)” พระอุบาลีเป็นกำลังสำคัญในคราวทำปฐมสังคายนา คือเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย
     77. อุปวาณะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งคั่งในพระนครสาวัตถี ได้เห็นพระพุทธองค์ในพิธีถวายวัดพระเชตวัน เกิดความเลื่อมใสจึงได้มาบวชในพระพุทธศาสนาและได้บรรลุอรหัตตผล ท่านเคยเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธองค์ แม้ในวันปรินิพพานพระอุปวาณะก็ถวายงานพัดอยู่เฉพาะพระพักตร์
     78. อุปสีวะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ ปาสาณเจดีย์
     79. อุปเสนวังคันตบุตร เป็นน้องชายของพระสารีบุตร เรียนไตรเพทจบแล้ว ต่อมาได้ฟังธรรมมีความเลื่อมใสจึงบวชในพระพุทธศาสนา หลังจากบวชได้ 2 พรรษาจึงได้สำเร็จพระอรหัต ท่านออกบวช บวชจากตระกูลใหญ่มีคนรู้จักมาก และเป็นนักเทศน์ที่สามารถจึงมีกุลบุตรเลื่อมใสมาขอบวชด้วยเป็นจำนวนมาก ตัวท่านเองเป็นผู้ถือธุดงค์และสอนให้สัทธิวิหาริกถือธุดงค์ด้วย ปรากฏว่าทั้งตัวท่านและบริษัทของท่านเป็นที่เลื่อมใสของคนทั่วไปหมด จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางทำให้เกิดความเลื่อมใสทั่วทุกด้าน” (คือไม่เฉพาะตนเองน่าเลื่อมใส แม้คณะศิษย์ก็น่าเลื่อมใสไปหมด)

     80. อุรุเวลกัสสปะ เคยเป็นนักบวชชฏิล นับถือลัทธิบูชาไฟถือตัวว่าเป็นพระอรหันต์ สร้างอาศรมสั่งสอนลัทธิอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชราตำบลอุรุเวลา เป็นคณาจารย์ใหญ่ที่ชาวราชคฤห์นับถือมาก มีน้องชายสองคน ชื่อ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ล้วนเป็นหัวหน้าชฏิล ตั้งอาศรมอยู่ถัดกันไปบนฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ต่อมาพระพุทธเจ้า ได้เสด็จมาทรงทรมานอุรุเวลกัสสปะ ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ จนคลายพยศยอมมอบตัวเป็นพุทธสาวก ขอบรรพชา ทำให้ชฏิลผู้น้องทั้งสองพร้อมด้วยบริวารออกบวชตามด้วยทั้งหมด ครั้นบวชแล้วได้ฟังเทศนาจากพระพุทธเจ้า ก็ได้สำเร็จพระอรหัต ทั้งสามพี่น้องพร้อมด้วยบริวารมากทั้งหมดรวมหนึ่งพันองค์ พระอุรุเวลกัสสปะได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีบริษัทใหญ่” คือมีบริวารมาก

ขอบคุณ หนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 7

     61. สุพาหุ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีเป็นสหายของพระยสะ เมื่อทราบข่าวสกุลบุตรออกบวช จึงบวชตามพร้อมด้วยสหายอีกสามคน คือ ควัมปติ ปุณณชิ วิมละ
     62. สุภูติ เป็นบุตรสุมนเศรษฐีในพระนครสาวัตถี มีความเลื่อมใสบวชในพระพุทธศาสนา ต่อมาเจริญวิปัสสนา ทำเมตตา ฌานให้เป็นบาท ได้สำเร็จพระอรหันต์ พระศาสดาทรงยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ 2 ทางคือ “ทางอรณวิหาร” (เจริญฌานประกอบด้วยเมตตา) และเป็น “ทักขิไณยบุคคล” (ผู้ควรรับของทำบุญที่ทายกถวาย)
     63. เสละ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในอังคุตตราปะ เรียนจบไตรเพท เป็นคณาจารย์สอนศิษย์ 300 ได้พบพระพุทธเจ้า เห็นว่าพระองค์สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะครบถ้วน และได้ทูลถามปัญหาต่าง ๆ เมื่อฟังพระดำรัสตอบแล้ว มีความเลื่อมใสขอบวช ต่อมาไม่ช้าก็ได้บรรลุพระอรหัต
     64. โสณกุฏิกัณณ เป็นบุตรของอุบาสิกาชื่อกาฬี ซึ่งเป็นพระโสดาบัน พระมหากัจจายนะให้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วรอต่อมาอีก 3 ปี เมื่อท่านหาภิกษุครบ 10 รูปแล้วจึงให้อุปสมบทเป็นภิกษุบวชแล้วไม่นานก็สำเร็จพระอรหัตเดินทางมาเฝ้าพระศาสดาพร้อมทั้งนำข้อความที่พระอุปัชฌาย์สั่งมากราบทูลขอพระพุทธานุญาต ด้วยทำให้เกิดมีพระพุทธานุญาตพิเศษสำหรับปัจจันตชนบท เช่น ให้สงฆ์มีภิกษุ 5 รูป ให้อุปสมบทได้ ให้ใช้รองเท้าหนาหลายชั้นได้ ให้อาบน้ำได้ตลอดทุกเวลาเป็นต้น ท่านแสดงธรรมมีเสียงไพเราะชัดเจนจึงได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางกล่าวกัลยาณพจน์”
     65. โสณโกฬิวิสะ เป็นบุตรของอสุภเศรษฐีแห่งวรรณะแพทย์ในเมืองกาฬจัมปาก แคว้นอังคะ ได้รับการบำรุงบำเรอทุกประการ มีความเป็นอยู่ดีเลิศในปราสาท 3 ฤดู มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มและมีขนอ่อนขึ้นภายใน พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับกิตติศัพท์ รับสั่งให้เข้าเฝ้าเพื่อทอดพระเนตร จึงมีโอกาสเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้สดับพระธรรมเทศนาเกิดความเลื่อมใสขอบวช ท่านทำความเพียรอย่างแรงกล้าจนเท้าแตก และเริ่มท้อใจ พระพุทธเจ้าจึงทรงประธานโอวาทอุปมาเรื่องพิณสามสาย ท่านปฏิบัติตามไม่ช้าก็ได้สำเร็จพระอรหัต พระศาสดาทรงยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางปรารภความเพียร”
     66. โสภิตะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี ต่อมาได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า มีความเลื่อมใสขอบวชไม่ช้าก็บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป้นเอตทัคคะในทาง “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” (ความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในชาติก่อนหรือระลึกชาติได้)
     67. เหมกะ ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน 16 คนของพราหมณ์ พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดาที่ปาสาณเจดีย์
     68. องคุลิมาล เป็นบุตรของภัคควพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าโกศล ไปศึกษาในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักศิลา มีความรู้และความประพฤติดี เพื่อนศิษย์ด้วยกันริษยา ยุอาจารย์ให้กำจัดเสีย อาจารย์ลวงด้วยอุบายให้ไปฆ่าคนครบหนึ่งพันแล้วจะมอบวิชาวิเศษอย่างหนึ่งให้ จึงกลายเป็นมหาโจรโหดร้ายทารุณตัดนิ้วมือคนที่ตนฆ่าตายแล้ว ร้อยเป็นพวงมาลัย ภายหลังพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดกลับใจได้ ขอบวชต่อมาก็ได้สำเร็จพระอรหัต ท่านเป็นต้นแห่งพุทธบัญญัติไม่ให้บวชโจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง
     69. อชิตะ เป็นหัวหน้าศิษย์ 16 คนของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหาพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์
     70. อนุรุทธะ เจ้าศากยะองค์หนึ่ง ซึ่งพร้อมใจกันออกบรรพชา มีกษัตริย์ 6 องค์ และอำมาตย์ช่างกัลบก รวมเป็น 7 พระอนุรุทธะ เรียนกรรมฐานในสำนักของพระสาลีบุตร ได้บรรลุพระอรหัตที่ป่าปาจีน วังสทายวัน ในแคว้นเจตี ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางทิพยจักษุ”

ขอบคุณ หนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข

วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560

พระมหาสาวก 80 องค์ ตอนที่ 6

     51. เรวตขทิรวนิยะ เป็นบุตรพราหมณ์และเป็นน้องชายคนสุดท้องของพระสารีบุตร บวชอยู่ในสำนักของภิกษุพวกอยู่ป่า (อรัญวาสี) บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าไม้ตะเคียน 3 เดือนเศษ ก็ได้สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางอยู่ป่า”
     52. ลกุณฏกภัททิยะ เป็นบุตรในตระกูลมั่งคั่งพระนครสาวัตถี ท่านได้บรรลุพระอรหัตในสำนักพระสารีบุตร แต่ความที่มีรูปร่างเล็ก เตี้ยค่อม จึงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสามเณรบ้าง ถูกพระหนุ่มเณรน้อยล้อเลียนบ้าง ถูกเพื่อนพระดูแคลนบ้าง แต่พระพุทธเจ้ากลับตรัสยกย่องว่าถึงท่านจะร่างเล็ก แต่มีคุณธรรมฤทธานุภาพมาก ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีเสียงไพเราะ”
     53. วักกลิ เป็นบุตรพราหมณ์ชาวพระนครสาวัตถี บวชในพระพุทธศาสนาด้วยความอยากเห็นพระรูปพระโฉมพระศาสดา คอยติดตามดูพระองค์ตลอดเวลาจนไม่เป็นอันเจริญภาวนา พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า “จะมีประโยชน์อะไรที่ได้เห็นกายเปื่อยเน่านี้ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา” และทรงสอนต่อจนพระวักกลิได้สำเร็จเป็นพระอรหัต ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางศรัทธาวิมุต” คือหลุดพ้นด้วยศรัทธา
     54. วังคีสะ เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี มีความชำนาญในมนตร์พิเศษ เมื่อเอานิ้วเคาะหัวศพก็ทราบว่า ผู้นั้นตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหน แต่เมื่อเคาะศีรษะของผู้ปรินิพพานแล้วไม่สามารถบอกคติได้ ด้วยความอยากเรียนมนตร์เพิ่มอีกจึงขอบวชในพระพุทธศาสนา ไม่นานก็บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีปฏิภาณ”
     55. วัปปะ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์สาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า คือ 1. อัญญาโกณฑัญญะ 2. วัปปะ 3. ภัททิย 4. มหานามะ 5. อัสสชิ
     56. วิมละ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีเป็นสหายของพระยสะ เมื่อทราบข่าวยสกุลบุตรออกบวช จึงบวชตามพร้อมด้วยสหายอีกสามคน คือ ควัมปติ ปุณณชิ และสุพาหุ
     57. สภิยะ เดิมเป็นปริพาชก (นักบวชชายนอกพระพุทธศาสนา) มาก่อน ได้ฟังพระพุทธเจ้าพยากรณ์ปัญหาที่ตนถาม มีความเลื่อมใสขอบวช หลังจากบวชไม่นานก็บรรลุพระอรหัต
     58. สาคตะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี ขอบวชแล้วทำความเพียรจนมีความชำนาญในสมาบัต (ภาวะสงบประณีตซึ่งพึงเข้าถึง) ท่านเป็นต้นบัญญัติสุราปานสิกขาบท เกิดความสังเวชในเหตุการณ์ที่เกิดกับตนครั้งนี้ จึงเจริญวิปัสนากัมมัฏฐานจนได้สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางเตโชสมาบัติ”
     59. สารีบุตร เกิดที่หมู่บ้านนาลกะ ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์เป็นบุตรแห่งตระกูลหัวหน้าหมู่บ้าน เป็นพระสหายกับพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า มาแต่เด็ก ออกบวชเป็นปริพาชก จนได้พบหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์คือ พระอัสสชิ จึงได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยโกลิตะ (นามเดิมของพระโมคคัลลานะ) มีปริพาชกที่เป็นศิษย์ตามมา 250 คน ได้รับเอหิภิกขุอุปสมบททั้งหมดที่พระเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ บวชได้ 15 วัน ก็บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีปัญญามาก”
     พระสารีบุตรนับเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า น้องชายทั้งสามของท่านคือ จุนทะ อุปเสนะ และเรวตะ บวชในพระธรรมวินัยบรรลุพระอรหัตเป็นพระมหาสาวกทั้งหมด ส่วนน้องหญิงอีกสามคนก็บวชในพระธรรมวินัยเช่นกัน ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธเจ้า ในการประกาศศาสนา ได้รับยกย่องเป็น “พระธรรมเสนาบดี” คำสอนของท่านปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเป็นอันมาก
     พระสารีบุตรมีคุณธรรมและจริยาวัตรที่เป็นแบบอย่างหลายประการเช่น เป็นผู้มีความกตัญญูสูง สมบูรณ์ด้วยขันติธรรมต่อคำว่ากล่าว เป็นผู้เอาใจใส่อนุเคราะห์เด็ก เป็นผู้เอาใจใส่ดูแลภิกษุอาพาธเป็นต้น
     60. สีวลี เป็นพระโอรสของพระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ ต่อมาท่านบวชในสำนักของพระสารีบุตร พอปลงผมเสร็จก็ได้สำเร็จพระอรหัต ท่านสมบูรณ์ด้วยปัจจัยลาภและทำให้ลาภเกิดแก่ภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะใน “ทางมีลาภมาก”

ขอบคุณข้อมูลหนังสือความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดยภัทรวรรณ วันทนชัยสุข




โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...