วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

โอปปาติกะ

เทวดา

     เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะรวมถึงรูปพรหมและอรูปพรหมด้วย โดยทั่วไป เทวดาก็คืออดีตมนุษย์ที่มีความดีมากกว่าความชั่ว เน้นไปที่การทำความดีในด้านให้ทานและรักษาศีลอยู่เป็นประจำ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วกำลังบุญที่มีจึงดึงดูดให้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นต่างๆ ตามแต่กำลังบุญของตน
รูปพรหม ได้แก่ อดีตมนุษย์ที่บำเพ็ญความดีทั้งทาน ศีล และภาวนาเป็นประจำ โดยสามารถเข้าถึงสมาธิในระดับฌาน ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน เมื่อสิ้นชีวิตแล้วกำลังบุญมากพอที่จะดึงดูดให้ไปเกิดเป็นรูปพรหม
อรูปพรหม ได้แก่ อดีตมนุษย์ที่ปฏิบัติธรรมได้ผลจนกระทั่งเลยระดับฌานทั้ง จนกระทั่งเข้าถึงระดับสูงขึ้นไปอีก ระดับ
สัตว์นรก ได้แก่ โอปปาติกะที่ตรงข้ามกับเทวดา คือ อยู่ในสถานที่ที่มีความทุกข์ ที่เรียกกันว่า ฝ่ายทุคติ หรือฝ่ายบาป โดยสัตว์นรกแบ่งเป็น ระดับ
มีคำอธิบายในคัมภีร์พระพุทธศาสนาว่า สัตว์นรก เป็นโอปปาติกะในแต่ละจกฺกวาฬ ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่า จักรวาล ซึ่งจากการวิเคราะห์โดย ผศ.ดร.สรกานต์ ศรีตองอ่อน ผู้เขียนหนังสือ พุทธจักรวาล อิทธิฤทธิ์มีจริง ผีมีจริงชีวิตซ้อนมิติ จักรวาลนี้ก็คือกาแล็กซีในความหมายทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง
ยังมีสัตว์นรกอีกประเภทหนึ่งที่อยู่นอกแต่ละกาแล็กซี โดยอยู่ระหว่าง กาแล็กซีที่อยู่ใกล้กัน เรียกสัตว์นรกประเภทนี้ว่า โลกันตะ ซึ่งมีความทุกข์ที่สุดในบรรดาสัตว์นรกทั้งหมด

มนุษย์บางจำพวก

     โอปปาติกะ ประเภทนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะตามปกติมนุษย์จัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดในครรภ์ มิใช่โอปปาติกะที่เป็นกายทิพย์เกิดแล้วโตทันที
มนุษย์แบบโอปปาติกะนี้ ได้แก่ มนุษย์ในช่วงแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในแต่ละวัฏจักร เมื่อเอกภพเกิดขึ้นใหม่ๆ จะไม่มีมนุษย์อาศัย และตอนเริ่มต้นจะร้อนจัด ต่อมาจะค่อยๆเย็นลง แล้วสสารก็รวมตัวกันเป็นกาแล็กซี เป็นดาวเคราะห์ เช่น โลก ซึ่งในโลกจะมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เรียกว่า ง้วนดิน ซึ่งมีกลิ่นหอมมากและฟุ้งกระจายไปไกลจนถึงสถานที่อยู่ของรูปพรหม จนกระทั่งรูปพรหมบางท่านทนไม่ไหว ต้องลงมาดูว่าสิ่งนั้นคืออะไร
รูปพรหมบางท่านที่ลงมายังโลกนี้ได้ทดลองชิมง้วนดินนั้น ทำให้เกิดความหยาบในกายทิพย์ของตน จนเกิดการเปลี่ยนสภาพจากรูปพรหมมาเป็นมนุษย์ทันที ซึ่งมนุษย์ประเภทนี้เองที่มีสภาพกำเนิดแบบโอปปาติกะ
ในคัมภีร์มีกล่าวถึงมนุษย์บางคน ได้แก่ นางอัมพปาลี (ต่อมาบวชเป็นภิกษุณี แล้วบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์) ซึ่งถือกำเนิดแบบโอปปาติกะที่โคนต้นมะม่วง เนื่องจากอธิษฐานจิตมาในอดีตชาติว่า ขอให้เกิดแบบโอปปาติกะ เพราะรังเกียจการเข้าอยู่ในครรภ์

เปรต

     โอปปาติกะที่จัดอยู่ในฝ่ายทุคติ แต่ยังมีบาปไม่มากพอที่จะเป็นสัตว์นรก จึงอาศัยอยู่เป็นกายทิพย์ที่ปะปนบนโลกมนุษย์ บางครั้งก็ปรากฏร่างกึ่งหยาบกึ่งละเอียดให้มนุษย์มองเห็นได้ เพื่อมาขอส่วนบุญจากมนุษย์

อสุรกาย

     มีโอปปาติกะอีกประเภทหนึ่ง ชื่อว่า อสุรกาย ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ (พระผู้แต่งคัมภีร์อรรถกถาเพื่อขยายความในพระไตรปิฎก) ได้อธิบายไว้ว่า อสุรกายจัดอยู่ในกลุ่มของเปรตนั่นเอง กล่าวคือ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข แต่ไม่ถึงกับตกนรก โดยอสุรกายจะมีสถานที่อยู่ใต้เขาสิเนรุ หรือจากการวิเคราะห์โดยผู้เขียนคือ อยู่ใต้ศูนย์กลางของแต่ละกาแล็กซีนั่นเอง

ที่มา  amarinbook.com

การกำเนิดของสัตว์โลกมี ๔ อย่าง

๑. อัณฑชะกำเนิด   สัตว์ที่เกิดในไข่
๒. ชลาพุชะกำเนิด   สัตว์ที่เกิดในมดลูก
๓. สังเสทชะกำเนิด   สัตว์ที่เกิดในเถ้าไคร (ของสกปรก)
๔. โอปปาติกกำเนิด   สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นโตทันที
ในกำเนิด ๔ นั้น อัณฑชะกำเนิดและชลาพุชะกำเนิด ๒ กำเนิดนี้ รวมเรียกว่า คัพภไสยยกกำเนิด คือเป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยครรภ์มารดาเกิด
ส่วนสังเสทชะกำเนิดและโอปปาติกกำเนิด ไม่ต้องอาศัยครรภ์มารดาเกิด
สัตว์ที่เป็นอัณฑชะกำเนิด ได้แก่ นก กา และเป็ด ไก่ เป็นต้น
สัตว์ที่เป็นชลาพุชะกำเนิด ได้แก่ มนุษย์ และ ช้าง ม้า เป็นต้น
สัตว์ที่เป็นสังเสทชะกำเนิด ได้แก่ หนอนในปลาเน่า และมอดในข้าวสาร เป็นต้น
สัตว์ที่เป็นโอปปาติกกำเนิด ได้แก่ สัตว์นรก สัตว์ดิรัจฉานบางจำพวก เปรตบางจำพวก มนุษย์ในสมัยต้นกัป และเทวดา เป็นต้น

ข้อมูลจากบล็อคโอเคเนชั่น

บุญ-บารมี

 หลวงพ่อมิตร เจ้าอาวาสวัดเขาแผงม้า สาขาวัดหนองป่าพงที่ 104 ได้เขียนเกี่ยวกับ “บุญ” และ “บารมี” ไว้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
     “บุญ” นั้นมีพลานุภาพมากสามารถอยู่กับเราได้ ข้ามภพข้ามชาติ แต่หากส่งผลของกรรมดีจนบุญหมด เมื่อหมดก็คือหมดจริง ๆ
     เราควร สะสม กรรมดีอันเป็นบุญไปเรื่อย ๆ พยายามอย่าสร้าง กรรมไม่ดีให้มันบันทึกไว้ในจิต เพราะเวลาบาปมันส่งผล มันก็จะมีอานุภาพหนักหนาพอ ๆ กัน
     พระพุทธองค์เมื่อ บรรลุธรรม ก็ยังต้องรับ วิบากกรรม ที่ได้กระทำไว้ในอดีต แต่ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วท่านจะรับกรรมแบบไม่มีทุกข์ในขันธ์ 5 ในสังขารของท่าน
     “บุญ” นั้นมาจากกรรมดี ซึ่งมีที่มาได้สองทางคือ
      หนึ่ง “บุญ” จากการกระทำเอง เช่น การทำทาน
     สอง “บุญ” จากการรับรู้ที่ผู้อื่นได้ทำดี เรียกว่าอนุโมทนาบุญ
     ส่วน “บารมี” มาได้ทางเดียวเท่านั้น คือ ”ท่านจะต้องทำเอง” และเมื่อสร้างแล้วมันจะ ถูกบันทึกไว้ในจิต ไม่มีลด มีแต่ทรงกับเพิ่ม ซึ่งต่างจาก “บุญ” เพราะ “บารมี” กระทำด้วยมี ปัญญา เป็นตัวนำ
     วิธีการสร้าง “บารมี” มี 10 วิธีดังนี้
     หนึ่ง ทานบารมี การที่จิตของเราพร้อมที่จะให้ทาน ให้เพื่อสงเคราะห์ไม่ใช่ให้เพื่อผลตอบแทน ให้แบบไม่เลือกเพศ ไม่เลือกฐานะ ไม่เลือกบุคคล และเต็มใจในการให้ทานนั้น ๆ
     สอง ศีลบารมี คือการที่จิตของเราพร้อมในการรักษาศีล พยายามไม่ให้ศีลบกพร่อง และไม่ยุคนอื่นให้ละเมิดศีล ไม่ดีใจ เมื่อคนอื่นละเมิดศีล
     สาม เนกขัมมบารมี คือการที่มีจิตพร้อมในการถือบวช ในการมุ่งสู่การปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญภาวนา
     สี่ ปัญญาบารมี คือ การที่จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารกิเลส และมีความรู้เท่าทันสภาวะของกฏสามัญลักษณะ ได้แก่ การเห็นอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา ทุกอย่างไม่แน่
     ห้า วิริยบารมี คือการที่มีความเพียรทุกขณะในการที่จะทำความดี ทำอย่างไมย่อท้อ
     หก ขันติบารมี คือการที่มีความอดทนอดกลั้น ต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ในการทำความดี
     เจ็ด สัจจะบารมี คือการที่ตั้งมั่นในคำพูดที่ได้รับปากไว้แล้ว หรือการตั้งมั่นกับตนเอง พูดจริง ทำจริง
     แปด อธิษฐานบารมี คือการตั้งเป้าหมายให้จิตแบบเจาะจง การที่ตั้งไว้ให้ตรงโดยเฉพาะตัวอย่างเช่น สมัยที่ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงนั่งประทับที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระองค์อธิษฐานว่า ถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระโพธิญาณ เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี่ พระองค์ทรงอธิษฐานแบบเอาชีวิตเข้าแลกแล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุในคืนนั้น
     เก้า เมตตาบารมี คือ การที่มีความเมตตา ไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่เกลียดใคร ไม่อาฆาตใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
     และ สิบ อุเบกขาบารมี คือการมี่มีความวางเฉย มีความเป็นกลางต่ออารมณ์ที่ถูกใจ อารมณ์ที่ไม่ถูกใจ
     ใครก็ตามที่ มีทั้งบุญและบารมี ถือว่าเป็นบุคคลที่ ประเสริฐสุด แล้ว
     คำสอนของพระพุทธเจ้า มีความทันสมัย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ในทุกรณี ฉะนี้แล

จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คอลัมพ์เห็นมาอย่างไรเขียนไปอย่างนั้น 6/5/62 โดย อนุภพ

ตำนานพระโมคคัลลานะเถระช่วยแม่พ้นเปรตภูมิ

        ในสมัยหนึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่    เชตวันมหาวิหาร
เมืองสาวัตถี พระโมคคัลลานะเถระ  ผู้บรรลุซึ่งธรรม บารมี  6
มีปณิธานอันแรงกล้า  ปรารถนาจักทดแทนพระคุณบุพการีชน
ดั่งนี้แล้ว  จึ่งได้เพ่งมองโลกด้วยอภิญญาญาณ  และแจ้งว่า.......
บัดนี้ผู้เป็นมารดาแห่งตนได้ไปถืออุบัติอยู่ ณ ท่ามกลางดวงวิญญาณ
หิวกระหาย  ไม่มีทั้งน้ำ  และอาหาร  ทั่วสรรพพางค์กาย
ปรากฏเพียงหนังหุ้มกระดูก  ได้รับทุกขเวทนายื่งนัก
พระโมคคัลลานะ  จึงนำผลาหารบรรจุเต็มบาตรเพื่อนำไปโปรด
ดวงวิญญาณของมารดา  ทันทีที่นางรับบาตรไป  ก็ลูบคลำด้วย
มืออันอ่อนแรง  มือขวากอบคำข้าวเพื่อหวังจะบริโภค
แต่ในบัดดล  ยังมิทันที่อาหารจะล่วงเข้าสู่ปากของนาง  ก็กลับกลาย
เป็นถ่านเพลิงเผาไหม้ทุกคราไป  ยังความสลดสังเวชแก่พระโมคคัลลานะ เป็นที่ยิ่ง  ด้วยเหตุนี้แล้ว  พระโมคคัลลานะจึงกลับไปสู่  ณ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า  แล้วกราบทูลถึงการณ์ทั้งปวงให้พระพุทธองค์ทรงทราบ

สมเด็จพระศาสดาได้มีพุทธดำรัสว่า.....

     "ดูกร  โมคคัลลานะ  โดยเหตุที่มารดาของท่านสั่งสมซึ่งอกุศลกรรม
เป็นเนืองนิจ  อาศัยกำลัง(บุญกุศล)แห่งตน(พระโมคคัลลานะ)
แต่เพียงลำพัง  มิอาจบรรเทาอกุศลกรรมนั้นได้  ถึงแม้ว่าอำนาจ
แห่งความกตัญญูต่อบุพพการีชนของท่านจะสะเทือนถึงสวรรค์
โลกมนุษย์  ปีศาจ  มารร้าย  หรือแม้แต่พรหมโลกและจตุโลกบาลก็ตาม
ยังมีแต่พลานุภาพแห่งที่ประชุมพระอริยสงฆ์สาวก  ผู้มาจากทิศทั้งสิบ  
จึงสามารถปลดเปลื้องทุกข์แห่งมารดาท่านได้  บัดนี้พระตถาคตจักแสดง
ธรรมอันเป็นเครื่องปลดเปลื้อง  ความขัดข้อง  ความทุกข์  และอกุศลมูลทั้งหลาย

ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงมีดำรัสต่อพระมหาโมคคัลลานะว่า

     "ในวันเพ็ญ  กลางเดือนเจ็ด  อันเป็นวาระแห่งวันปวารณาของพระสงฆ์ทั่วทั้งทศทิศ  เพื่ออานิสงค์อันพึงจักสำเร็จแก่บุพพการีชน ทั่วถึง  7  ชั่วอายุ โมคคัลลานะ  !!  เธอจงจัดเตรียมภาชนะอันบริสุทธิ์อุดมด้วยผลาหารภักษาหารทั้ง  100  อย่าง  ผลไม้ทั้ง  5  กับสิ่งสักการะบรรดามี ประทีป  ธูปเทียน  ชวาลา  อันเป็นเลิศทั้งปวง  ถวายแด่หมู่สงฆ์
ผู้มาจากทิศทั้ง  10 หากสาธุชนใดพึงได้ถวายทานดั่งนี้แล้ว  แด่ที่ประชุมมหาปวารณาสงฆ์ อานิสงค์อันประมาณมิได้  ย่อมบังเกิดแด่บุพพการีชนทั้งในปัจจุบัน ตลอดจนถึง  7  ชั่วอายุ  แม้กระทั่งผู้อยู่ในคติทั้ง  6  
(สวรรค์  มนุษย์  เปรต  อสุรกาย  เดรัจฉาน  สัตว์นรก)
ท่านเหล่านั้นจักพ้นจากทุคติภูมิ  ได้บังเกิด    สุคติภพ
โภชนาหารกับทั้งพัสตราภรณ์อันปราณีต  จักบังเกิดแด่ท่านเหล่านั้น
แม้ผู้ยังชนม์อยู่ย่อมจักเป็นผู้มั่งคั่ง  จักเป็นผู้มีอายุยืน"
แลบัดนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงมีพุทธบรรหารแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์
ทั้งหลายให้ดำรงจิตแห่งตน  มั่นคงอยู่ในสมาธิภาวะ  แล้วจึง
สังวัธยายมนตร์  อุทิศให้บุพพการีชนทั้งหลาย  ครั้นแล้วหมู่สงฆ์ทั้งนั้น
พึงรับ มตกภัตต่อเบื้องหน้าพุทธานุสติเจดีย์ในท่ามกลางหมู่สงฆ์
     ทันใดนั้น  มารดาแห่งพระมหาโมคคัลลานะก็ได้พ้นจากกัลป์แห่งเปรตภูมิด้วยกุศลนั้น  พระมหาโมคคัลลานะ  อีกทั้งพระมหาโพธิสัตว์เจ้า
ก็บังเกิดปิติในผลแห่งกุศลเป็นอันมาก พระมหาโมคคัลลานะ  ได้ประคองหัตถ์อัญชุลีต่อเบื้องพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค  แล้วกราบทูลว่า.......
"บัดนี้  มารดาของข้าพระองค์  ได้รับอานิสงค์อันไม่มีประมาณ  ก็ด้วย
อาศัยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัย  หากในกาลภายหน้า  บรรดา
พุทธสาวกทั้งหลายปรารถนาจักบำเพ็ญกุศลทานอุทิศให้แก่บุพพการีชน
ดั่งนี้บ้าง  บรรพชนทั้งหลายกับผู้ล่วงลับทั้ง  7  ชั่วอายุนั้น
จักได้รับอานิสงค์ดุจเช่นนี้หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า"    
         
พระผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลก  จึงมีพุทธดำรัสตอบว่า...  

     "ประเสริฐแล้ว  สิ่งที่เธอกล่าวนั้นชอบแล้ว  หากในภายภาคเบื้องหน้า
สาธุชนทั้งหลายอันมีภิกษุ  ภิกษุณี  กษัตริย์  พระบรมวงศานุวงศ์
ข้าราชบริพารทุกชนชั้นกับทั้งสามัญชนทั้งปวงปรารถนาที่จักบำเพ็ญ
กุศลทานอุทิศแด่บุพพการีชน  ผู้ให้กำเนิดแล้วไซร้
ในวันเพ็ญกลางเดือน  7  อันเป็นวันมหาปวารณาสงฆ์  
เธอทั้งหลายพึงถวายโภชนาหาร  
กับทั้งของบริวารทั้งปวงแด่หมู่สงฆ์ผู้มาทิศทั้ง  10
แล้วตั้งใจอุทิศส่วนแห่งบุญนั้น  แด่บุพพการีชน  
ผู้ให้กำเนิดกับทั้งผู้ล่วงลับทั้ง  7  ชั่วอายุ  ให้ได้รับอานิสงส์เขาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมจักเป็นผู้พ้นจากทุคติภพ  ได้บังเกิดในท่ามกลางสุคติภูมิ
ได้เสวยผลบุญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  พุทธสาวกทั้งหลาย  ผู้มีมนสิการมั่นคงอยู่ในกตัญญุตธรรม ระลึกถึง  คุณแห่งบุพพการีชน  มีคุณบิดา  มารดา  เป็นต้น  ในวันขึ้น  15  ค่ำของเดือน  7  ทุกปี  พึงประกอบกุศลกรรม ถวาย  อุลลัมพนมตกภัต  แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้ง  10  ทิศ  
     เพื่อแสดงซึ่งกตัญญุตาในผู้ให้กำเนิด  แลผู้มีพระคุณที่ได้บำรุงเลี้ยงดูมา" เมื่อได้สดับฟังพระธรรมของพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้ว พระมหาโมคัลลานะพร้อมด้วยพุทธบริษัท  4  ต่างปิติยินดีในธรรม
และน้อมรับไปปฏิบัติโดยทั่วกัน พระสูตร  อันเป็นสัจจพจน์ที่ว่าด้วยธรรมอันเป็นกตัญญุตกตเวทิตธรรมต่อบุพพาการีชน  ก็ยุติลงด้วยประการฉะนี้ ขอกุศลผลทานที่ทุกท่านร่วมใจกันจะถวาย  อุลลัมพนมตกภัต  นี้
จงพึงบังเกิดแด่  บุรพชนต้นตระกูล  บรรพกษัตริย์  ผู้รักษาประเทศชาติ
บุพพการีชน  เหล่าญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้วของทุก ๆ ท่าน
เป็นผู้พ้นจากทุคติภูมิ  ได้บังเกิดในสุขคติภูมิ  
ผู้ใดได้รับทุกข์  ก็จงพ้นจากความทุกข์
ผู้ใดมีสุข  ก็จงมีสุขยิ่ง ๆ  ขึ้นไป  เสวยผลบุญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญกุศลนี้จงพ้นจากความทุกข์  ความขัดข้องทั้งหลาย
จงมีความสุข  ความเจริญ  ไม่มีที่สิ้นสุด  เป็นผู้มั่งคั่ง  อายุยืน
ดุจดังอานิสงส์แห่ง  "พระพุทธวจนะอุลลัมพนสูตร"  ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ.

ที่มา www.bp.or.th โดยท่าน ธรรมะรักโข ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้

คำคมดี ๆ

 อย่าไปนึกว่า ”คนอื่น” เหนือกว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย 

     อย่าไปนึกว่า ”คนอื่น” ต่ำกว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ

     อย่าไปนึกว่า “คนอื่น” เสมอเท่าเรา เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น

    จงคิดเสมอว่า “คนอื่นทุกคน” เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด

จากหนังสือราคากลางพระเครื่อง ฉบับที่ 54 ปี 2555

เหตุให้อายุสั้น-อายุยืน

อนายุสสสูตรที่ 1

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ประการนี้ เป็นเหตุให้อายุสั้น
5 ประการ เป็นไฉน คือ
บุคคลไม่เป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง 1
ไม่รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย 1
บริโภคสิ่งที่ย่อยยาก 1
เป็นผู้เที่ยวในกาลไม่สมควร 1
ไม่ประพฤติเพียงดังพรหม 1
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 ประการนี้แล เป็นเหตุให้อายุสั้นฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ประการนี้ เป็นเหตุให้อายุยืน
5 ประการ เป็นไฉน คือ
บุคคลเป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง 1
รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย 1
บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย 1
เป็นผู้เที่ยวในกาลสมควร 1
เป็นผู้ประพฤติเพียงดังพรหม 1
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 ประการนี้แล เป็นเหตุให้อายุยืนฯ

อนายุสสสูตรที่ 2

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ประการนี้ เป็นเหตุให้อายุสั้น
5 ประการ เป็นไฉน คือ
บุคคลย่อมไม่กระทำความสบายแก่ตนเอง 1
ไม่รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย 1
บริโภคสิ่งที่ย่อยยาก 1
เป็นคนทุศีล 1
มีมิตรเลวทราม 1
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ประการนี้ เป็นเหตุให้อายุสั้นฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ประการนี้ เป็นเหตุให้อายุยืน
5 ประการ เป็นไฉน คือ
บุคคลย่อมเป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง 1
รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย 1
บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย 1
เป็นผู้มีศีล 1
มีมิตรดีงาม 1
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ประการนี้ เป็นเหตุให้อายุยืนฯ

(จากพระไตรปิฎกแปลไทย ฉบับหลวง พระสุตตันตปิฎก เล่ม 14 อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต คิลานวรรคที่ อนายุสสสูตรที่ 1-2)

ขอบคุณ ข้อมูลจากหนังสือธรรมลีลา ปีที่ 16 ฉบับที่ 184 เมษายน 2559

โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...