วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระมหากัสสปะ

     บวชเมื่ออายุมากแล้ว ท่านเป็นชาวเมืองราชคฤห์ นามเดิมว่า ปิปผลิ เป็นบุตรพราหมณ์ ผู้มั่งคั่งแห่งมหาติฏฐคาม แต่งงานกับบุตรีพราหมณ์โกสิยโครตนามว่า ภัททกาปิลานี แต่งเพียงในนาม เพราะทั้งสองไม่มีจิตยินดีในการครองเรือน เมื่อบิดามารดาสิ้นชีวิตแล้ว ทั้งสองได้แบ่งทรัพย์สินให้ข้าทาสบริวารแล้วพากันออกไปแสวงหาโมกขธรรม เมื่อมาถึงทางสองแพร่งก็แยกย้ายกันไป
     ปิปผลิพบพระพุทธเจ้าประทับใต้ต้นกร่าง (พหุปุตตนิโครธ) จึงเข้าไปนมัสการโดยยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ได้ฟังพระโอวาท 3 ข้อจากพระพุทธองค์มีความเลื่อมใส ขอบวชเป็นสาวกของพระองค์โอวาท 3 ข้อนี้แลเป็นการอุปสมบทของท่าน
     หลังจากบวชแล้ว พยายามปฏิบัติตามพระโอวาททั้ง 3 ข้อ ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตเนื่องจากท่านบวช เมื่ออายุมากแล้ว จึงพอใจจะอยู่อย่างเรียบง่ายในป่า จึงอธิษฐานธุดงควัตร 3 ข้อ (อยู่ป่าเป็นนิตย์, ถือบิณฑบาตเป็นนิตย์ และถือผ้าบังสุกุลเป็นนิตย์) พระพุทธองค์ทรงยกย่องท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นในทาง “ธูตวาทะ” (มีวาทะขัดเกลา,ถือปฏิบัติเคร่งครัดขัดเกลา)
     เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 3 เดือน ท่านได้ชักชวนพระอรหันต์ทรงอภิญญา 500 รูป กระทำสังคายนา ร้อยกรองพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่ วางเป็นหลักให้ยึดถือปฏิบัติสืบมา

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือคาถาชินบัญชร
โดย ศ.พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
ผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมควรค้นหาในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีหรือในอินเตอร์เน็ต


วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระราหุล

     เป็นพุทธชิโรรส ประสูติจากพระนางยโสธราพิมพา ในคืนวันที่เจ้าชายสิทธัตถะ ผู้พระราชบิดาตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวชพอดี พระนามว่า ราหุล (บ่วง) ก็เกิดขึ้นจากพระอุทานที่เสด็จพ่อเปล่งขึ้นขณะได้ข่าวท่านประสูติ (ราหุลํ ชาตํ บ่วงเกิดขึ้นแล้ว)
     เมื่อพระบิดาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เสด็จนิวัติพระนครกบิลพัสดุ์ ราหุลกุมาร ขณะนั้นพระชนม์เพียง 7 พรรษา พระมารดาขอร้องให้ไปขอ “ขุมทรัพย์” จากพระบิดา เดินตามพระพุทธองค์พลางพูดว่า “สมณะ ขอขุมทรัพย์ ๆ” ไม่ขาดปาก พระพุทธเจ้าทรงคำนึงว่าบรรดาทรัพย์ทั้งหลายพินาศฉิบหายได้ ยกเว้นอริยทรัพย์ เมื่อมีพระพุทธประสงค์จะประทานอริยทรัพย์ให้พระกุมาร จึงรับสั่งให้พระสารีบุตรบวชให้เธอ
     การบวชของราหุลกุมารสำเร็จด้วยการเปล่งวาจารับไตรสรณคมน์และพระกุมารก็อายุไม่ครบยี่สิบปี เธอจึงเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา สามเณรราหุลเป็นผู้ว่านอนสอนง่ายยิ่ง มีฉันทะในการศึกษาใคร่รู้ ใคร่ปฏิบัติอย่างยิ่ง นัยว่า ทุกเช้าท่านจะลงจากกุฏิเอามือกอบทรายแล้วอธิษฐานว่า “วันนี้ขอให้เราได้ฟังพระโอวาทจากพระพุทธองค์และพระอุปัชฌาย์มากมายเท่าเมล็ดทรายในกำมือนี้” พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นในทางเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา

     พระราหุลเถระนิพพานก่อนพระพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์ แต่อายุยังน้อย สถานที่นิพพานของท่านคือ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือคาถาชินบัญชร
โดย ศ.พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
ผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมควรค้นหาในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีหรือในอินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระอานนท์

     พุทธอนุชา เป็นโอรสเจ้าอมิโตทนะ (อนุรุทธะและมหานามะ ก็ว่าเป็นโอรสของอมิโตทนะเหมือนกัน เข้าใจว่าจากชายาคนละองค์ บางคัมภีร์ว่าพระอานนท์เป็นโอรสเจ้าสุกโกทนะ พระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ) พร้อมกับเจ้าชายศากยะและโกลิยะ 5 องค์ มีภคุเป็นต้น หลังจากบวชแล้วได้ฟังโอวาท ของพระปุณณมันตานีบุตร ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน หลังจากนั้นได้มารับหน้าที่ พุทธอุปัฏฐาก ถวายปรนนิบัติพระพุทธเจ้า อยู่ตลอดพระชนม์ชีพของพระพุทธองค์ ไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติธรรม เป็นพระโสดาบันอยู่นานจนได้บรรลุพระอรหัต หลังพุทธปรินิพพาน ทันเข้าร่วมประชุมสังคายนาครั้งที่ 1 อันมีพระมหากัสสปะเป็นประธานพอดี
     ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นใน 5 สถานด้วยกัน คือ
     1.เป็นผู้มีสติ
     2.เป็นผู้มีคติ (แนวสำหรับจำพุทธวจนะ)
     3.เป็นพหูสูต
     4.เป็นผู้มีธิติ (ความเพียร) และ  
     5.เป็นพุทธอุปัฏฐากผู้เลิศ
     ความที่ท่านเป็นผู้ทรงจำพุทธวจนะมากกว่าใคร ท่านจึงได้รับเลือกจากพระมหากัสสปะ ให้เข้าร่วมทำสังคายนาพระธรรมวินัย โดยทำหน้าที่วิสัชนาพระธรรมเป็นกำลังสำคัญช่วยให้การสังคายนาพระธรรมวินัยสำเร็จลงด้วยดี

     นัยว่าพระอานนท์นิพพาน เมื่ออายุ 120 ปี โดยเข้าเตโชสมาบัติเหาะขึ้นบนอากาศ อธิษฐานให้สรีระของท่านแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งตกลงที่ฝั่ง ณ ฝั่งเมืองกบิลพัสดุ์ อีกส่วนหนึ่งตกลง ณ ฝั่งเมืองเทวทหะ เพื่อป้องกันพระญาติทั้งสองเมืองแก่งแย่งพระธาตุของท่าน

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือคาถาชินบัญชร
โดย ศ.พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
ผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมควรค้นหาในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีหรือในอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระอนุรุทธะ

     เป็นพระสาวกผู้เลิศในทางมีตาทิพย์ ท่านเป็นศากยกุมาร เป็นโอรสของเจ้าอมิโตทนะ พระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จนิวัติพระนครกบิลพัสดุ์ แสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา และเหล่าศากยวงศ์ทั้งหลาย มีเจ้าชายแห่งศากยวงศ์ แสดงความจำนงขอบวชตามพระองค์หลายพระองค์ เจ้าชายอนุรุทธะเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ออกบวชพร้อมกับเจ้าชายภคุ กิมพิละ ภัททิยะ อานนท์ เทวทัต และอุบาลีภูษามาลา
     หลังจากบวชและได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ในเอตทัคคะ ความเป็นผู้เลิศ กว่าผู้อื่นทางด้านมีตาทิพย์
     พระอนุรุทธะ เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นประธานในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านได้นั่งเข้าสมาบัติตามพระพุทธเจ้า แล้วบอกแก่พุทธบริษัทว่า พระพุทธองค์ทรงเข้าและออกจากฌานอะไร จนกระทั่งวาระสุดท้าย ทรง “ดับสนิท” ในช่วงไหน

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือคาถาชินบัญชร
โดย ศ.พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
ผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมควรค้นหาในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีหรือในอินเตอร์เน็ต


วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระอัญญาโกณฑัญญะ

     เป็นบุตรแห่งพราหมณ์ตระกูลโทณวัตถุ เมืองกบิลพัสดุ์ สมัยยังหนุ่มเป็นหนึ่งในจำนวนพราหมณ์ทั้งแปด ที่ได้รับเชิญไปทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ โกณฑัญญะ พราหมณ์หนุ่มที่สุดในจำนวนนั้น ได้ทายอย่างไม่มีเงื่อนไขว่า เจ้าชายจะเสด็จออกผนวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระศาสดาเอกในโลกเป็นแน่แท้
     เมื่อทราบข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชจึงชวนพราหมณ์อีก 4 คนไปบวชตาม เฝ้าปรนนิบัติพระองค์ขณะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่เมื่อเห็นพระองค์ทรงเลิกทุกรกิริยา จึงผิดหวัง พาพรรคพวกหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

     หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมได้อุปสมบทเป็นพระสาวกรูปแรก ท่านได้รับยกย่องในเอตทัคคะในทางเป็น “รัตตัญญู” (แปลกันว่าผู้รู้ราตรีนาน หมายถึงผู้มีประสบการณ์มาก) เป็นพระผู้เฒ่าที่ชอบอยู่ตามป่าเขาตามลำพัง จนบั้นปลายแห่งชีวิต

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือคาถาชินบัญชร
โดย ศ.พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต

ผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมควรค้นหาในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีหรือในอินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ประวัติพระสาวกที่ปรากฏนามในคาถาชินบัญชร

     พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ

     พระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย ขอเล่าพร้อมกันโดยสังเขป พระสารีบุตรเป็นบุตรของพราหมณ์วังคันตะ และนางสารี แห่งอุปติสสะ เป็นเพื่อนรักกับ โกลิตะ บุตรแห่งนายบ้านโกลิตคามซึ่งอยู่ไม่ห่างไกล
     ทั้งสองเป็นศิษย์ศึกษาอยู่กับ เจ้าลัทธิผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ในบรรดาเจ้าลัทธิทั้งหก แห่งเมืองราชคฤห์ คือ สัญชัย เวลัฏฐบุตร เรียนจบวิชาความรู้ของอาจารย์ในเวลาไม่นาน รู้สึกว่ายังมิใช่แนวทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง จึงแยกย้ายกันไปแสวงหาอาจารย์อื่นพอดีอุปติสสะ พบพระอัสสชิเถระ ขณะบิณฑบาต อยู่ในเมืองราชคฤห์ ได้สนทนาและฟังธรรมจากท่านได้ “ดวงตาเห็นธรรม” จึงไปบอกโกลิตะผู้สหาย โกลิตะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน
     ทั้งสองจึงไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หลังจากประสบความล้มเหลวในการเกลี้ยกล่อมอาจารย์ให้ไปด้วย หลังจากบวชได้ 7 วันพระโมคคัลลานะ ได้บรรลุพระอรหัต ต่อมาอีก 7 วันพระสารีบุตรก็ได้บรรลุพระอรหัตเช่นกัน

     ทั้งสองท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์เป็นคู่แห่งพระอัครสาวก โดยพระสารีบุตรเป็นผู้เลิศทางปัญญา เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะเป็นผู้เลิศทางมีฤทธิ์มาก เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย


ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือคาถาชินบัญชร
โดย ศ.พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต

ผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมควรค้นหาในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีหรือในอินเตอร์เน็ต


วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

รายนามอสีติมหาสาวก

      รายนามอสีติมหาสาวก (พระสาวกผู้ใหญ่ 80 รูป)
  1.พระอัญญาโกณฑัญญะ          
  2.พระวัปปะ
  3.พระภัททิยะ                       
  4.พระมหานามะ
  5.พระอัสสชิ                         
  6.พระยสะ
  7.พระวิมละ                          
  8.พระสุพาหุ
  9.พระปุณณชิ                      
10.พระควัมปติ
11.พระอุรุเวลกัสสปะ               
12.พระนทีกัสสปะ
13.พระคยากัสสปะ                 
14.พระสารีบุตร
15.พระมหาโมคคัลลานะ          
16.พระมหากัสสปะ
17.พระมหากัจจายนะ              
18.พระมหาโกฏฐิตะ
19.พระมหากัปปินะ                 
20.พระมหาจุนทะ
21.พระอนุรุทธะ                     
22.พระกังขาเรวตะ
23.พระอานนท์                      
24.พระนันทกะ
25.พระภคุ                           
26.พระกิมพิละ
27.พระภัททิยะ                      
28.พระราหุล
29.พระสีวลี                          
30.พระอุบาลี
31.พระทัพพมัลลบุตร              
32.พระอุปเสนวังคันตบุตร
33.พระเรวตขทิรวนิยะ              
34.พระปุณณมันตานีบุตร
35.พระปุณณะ                       
36.พระโสณกุฏิกัณณะ
37.พระโสณโกฬิวิสะ               
38.พระราธะ
39.พระสุภูติ                          
40.พระองคุลิมาล
41.พระวักกลิ                         
42.พระกาลุทายี
43.พระมหาอุทายี                   
44.พระปิลินทวัจฉะ
45.พระโสภิตะ                       
46.พระกุมารกัสสปะ
47.พระรัฐปาละ                      
48.พระวังคีสะ
49.พระสภิยะ                         
50.พระเสละ
51.พระอุปวาณะ                     
52.พระเมฆิยะ
53.พระสาคตะ                       
54.พระนาคิตะ
55.พระลกุณฏกภัททิยะ            
56.พระปิณโฑลภารทวาชะ
57.พระมหาปันถก                   
58.พระจูฬปันถก
59.พระพากุล                        
60.พระโกณฑธานะ
61.พระพาหิยทารุจีริยะ             
62.พระยโสชะ
63.พระอชิตะ                        
64.พระติสสเมตเตยยะ
65.พระปุณณกะ                     
66.พระเมตตคู
67.พระโธตกะ                       
68.พระอุปสีวะ
69.พระนันทะ                        
70.พระเหมกะ
71.พระโตเทยยะ                    
72.พระกัปปะ
73.พระชตุกัณณี                     
74.พระภัทราวุธ
75.พระอุทยะ                        
76.พระโปสาละ
77.พระโมฆราช                     
78.พระนาลกะ
79.พระมหาปรันตปะ                
80.พระปิงคิยะ

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือคาถาชินบัญชร
โดย ศ.พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
ผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมควรค้นหาในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีหรือในอินเตอร์เน็ต




วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พระนามพระพุทธเจ้า 28 พระองค์

  1.พระตัณหังกร 
  2.พระเมธังกร
  3.พระสรณังกร             
  4.พระทีปังกร
  5.พระโกณฑัญญะ        
  6.พระมังคละ
  7.พระสุมนะ                
  8.พระเรวตะ
  9.พระโสภิตะ           
10.พระอโนมทัสสี
11.พระปทุมะ               
12.พระนารทะ
13.พระปทุมุตตระ          
14.พระสุเมธะ
15.พระสุชาตะ              
16.พระปิยทัสสี
17.พระอัตถทัสสี           
18.พระธัมมทัสสี
19.พระสิทธัตถะ            
20.พระติสสะ
21.พระผุสสะ                
22.พระวิปัสสี
23.พระสีขี                   
24.พระเวสสภู
25.พระกกุสันธะ            
26.พระโกนาคมนะ
27.พระกัสสปะ              
28.พระโคตมะ(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือคาถาชินบัญชร
โดย ศ.พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต

ผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมควรค้นหาในวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีหรือในอินเตอร์เน็ต

โอปปาติกะ

เทวดา      เทวดา ได้แก่ โอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือที่เรียกว่า สุคติ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะ...